แม้จะเป็น รัฐบาลผสมข้ามขั้ว แม้จะเชื่อกันว่ามีการสลายขั้ว เกิดขึ้นแล้ว แต่ในเชิงความรู้สึก ยังไม่อาจ หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันได้ เพราะยังมีความหวาดระแวงไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน
สะท้อนให้เห็นจาก ปรากฏการณ์ที่กว่าที่การจัดทีม ทำงาน ทีมหน้าห้อง ของ “บิ๊กทิน” สุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ได้ลงตัว ก็มีเรื่อง โกลาหล เอกสารหลุด ชื่อหลุด ยาวเหยียด
โดยเฉพาะร่างคำสั่งกลาโหมที่เตรียม แต่งตั้ง นายพายัพ ชินวัตร แกนนำพรรคเพื่อไทยที่ดูแลภาคอีสาน น้องชาย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นประธานที่ปรึกษารมว.กลาโหม และ นายพอพงษ์ ชินวัตร บุตรชาย นายพายัพ เป็นเลขานุการประจำตัวรมว.กห. และทีมงานนายทหารหน้าห้อง
จนนายสุทิน ต้องออกมาปฏิเสธ ว่า ไม่เป็นความจริง เพราะยังไม่มีอำนาจในการเซ็นคำสั่งเนื่องจากต้องรอการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเสียก่อน ก่อนที่จะสำทับว่า เป็นเอกสารปลอมที่เกิดจากผู้ไม่หวังดี ที่เป็นการสะท้อนว่า นายสุทิน ก็รับรู้ได้ถึงกระแสต้านตระกูลชินวัตร ที่จะมาคุมกลาโหมมาคุมกองทัพ จึงได้ชี้แจงเช่นนั้น ทั้งๆที่มีกระแสข่าวออกมาก่อนหน้านี้สะพัดในกระทรวงกลาโหมแล้วว่า นายพายัพจะมาช่วย นายสุทิน ดูแลกองทัพ
อีกทั้ง นายพายัพ ที่ไปออกงานสถานทูตเกาหลี ก็มีการพูดคุยกับแขกในงานว่า จะได้เป็นประธานที่ปรึกษา รมว.กลาโหม จน นายไพศาล พืชมงคล คอลัมนิสต์ดัง โพสต์ข้อความ ระบุว่า นายพายัพประธานที่ปรึกษา รมว.กลาโหม ก็มาร่วมงานด้วยก่อนที่ต่อมา นายสุทิน จะเลี่ยง ที่พูดว่า เป็นเอกสารปลอม หรือเอกสารที่ร่างไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้เซ็น แต่ระบุว่า เป็นเอกสารที่ไม่รู้ที่มาที่ไป และตัวนายพายัพ ก็ไม่ทราบ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ทำกันง่ายมากในปัจจุบัน ใครจะพิมพ์ก็ได้แล้วนำไปเผยแพร่
“คุณพายัพ ก็ไม่ได้พูดคุยกับผม ถึงขนาดนั้น มีแต่พูดแซวกันเล่นว่ามีอะไรก็จะปรึกษา และที่ผ่านมาผมได้พูดคุยกับผู้หลักผู้ใหญ่หลายคน นายพายัพ ก็พูดคุยกันมีอะไรก็แนะนำกัน” นายสุทิน ยอมรับ
จนทำให้เกิดคำถามในกระทรวงกลาโหมและในกองทัพว่า เอกสารที่หลุดออกมานั้นเป็นจากฝ่ายผู้ไม่หวังดี จริงหรือ หรือว่าออกมา จากทีมงานของนายสุทินเอง เพราะ นายสุทิน ก็รู้ดีว่า หากมีคนตระกูลชินวัตร มานั่งในกระทรวงกลาโหม ก็ย่อมหมายถึง ความอิสระของตนเอง จะยิ่งถูกควบคุม และอาจทำให้เกิดปัญหากับทีมงานในกระทรวงกลาโหมที่ส่วนใหญ่ยังเป็นสายอำนาจของ “พี่น้อง 3 ป.”
เพราะถึงอย่างไรก็ยังมี “บิ๊กหนุ่ม” พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ที่รู้กันดีว่าเป็นสายตรงบ้านป่ารอยต่อฯ เป็นลูกรักของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และยังมีอายุราชการถึงตุลาคม 2568 นั่งยาวเป็นปลัดกลาโหมรวม3 ปี โดยนั่งมาแล้ว 1 ปี
ที่สำคัญคือ มีทั้ง “บิ๊กเล็ก” พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มาเป็น เลขานุการ รมว.กลาโหม และ “บิ๊กอั๋น” พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา อดีตเลขาธิการ สมช. มาเป็น ที่ปรึกษาฯ รมว.กลาโหม
โดยทั้งสองคนถือเป็นทหารเก่าที่ทำงานใกล้ชิด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม มายาวนานโดยเฉพาะ พล.อ.ณัฐพล ที่เคยมีชื่อชิงเก้าอี้ รมว.กลาโหมกับ นายสุทิน มาแล้ว ด้วยการสนับสนุนของ พล.อ.ประยุทธ์ และแกนนำนายทหารเตรียมรุ่น 20 หากจะต้องมานั่งทำงานร่วมกระทรวง กับนายพายัพ มานั่งทำงานใกล้กัน ห้องติดกันหรือต้องเจอหน้ากันบ่อยๆจะมีปัญหาหรือไม่
ดังนั้น นายสุทิน จึงใช้เหตุการณ์เอกสารหลุดนี้อ้างเป็นเหตุว่ามีกระแสต้าน นายพายัพ ชินวัตร เพื่อที่จะได้ไม่ต้องแต่งตั้ง นายพายัพ มาเป็นประธานที่ปรึกษา รมว.กลาโหม ตามใบสั่ง
จนถึงขั้นที่ นายสุทิน ประกาศ ยืนยันในการให้สัมภาษณ์สื่อว่า “จะไม่มีคนนามสกุลชินวัตร อยู่ในคณะทำงาน”
และนายสุทิน จะเป็นคนของพรรคเพื่อไทย แต่นายสุทินก็คงต้องการอิสระในการบริหารงานกระทรวงกลาโหมและรักษาภาพลักษณ์ของการเป็นนักการเมืองที่มาคุมกลาโหมในฐานะพลเรือนได้อย่างเต็มที่มากกว่าที่จะถูกมองว่าเป็นร่างทรงหรือหุ่นเชิดที่คนในตระกูลชินวัตรส่งมาคุมทหาร
เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าทั้งอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร และ อดีต นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ล้วนต้องเผชิญชะตากรรมทางการเมืองเพราะถูกรัฐประหาร นายทักษิณซึ่งกลับมาอยู่ประเทศไทยแล้วแม้จะอยู่ในพื้นที่จำกัดของกรมราชทัณฑ์ อยู่โรงพยาบาลก็ตามแต่ก็สามารถใช้การสื่อสารทุกอย่างได้ จึงยังคงมีบทบาทในการกุมบังเหียนรัฐบาล รวมถึงตัว นายเศรษฐา อีกด้วย
อีกทั้งตัวนายสุทินเอง ก็มาแบบซอฟท์นุ่ม ใช้ไม้นวมกับกองทัพไม่มีสัญญาณของการใช้ไม้แข็งหรือมาล้างบาง แสดงความเด็ดขาดให้เห็น จนถูกประชดว่ามาเป็นโฆษกกระทรวงกลาโหมอีกคน เพราะกลายเป็นว่านายสุทิน มาช่วยชี้แจงแทนกองทัพ อีกทางนโยบายต่างๆก็ล้วนเป็นสิ่งที่กองทัพ ทำมาอยู่แล้ว
นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไม นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีจึงต้องมากำกับกระทรวงกลาโหมเอง แม้จะแต่งตั้ง “รองอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย เป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง แล้วก็ตาม
อีกทั้งจะเห็นได้ว่านายเศรษฐาก็เข้ามาประสานเรื่องกองทัพด้วยตนเอง ตั้งแต่การเชิญผู้บัญชาการเหล่าทัพชุดใหม่ พบปะรับประทานอาหารกลางวันด้วยกันโดยมี นายสุทิน และ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศ ร่วมโต๊ะด้วย และเคยให้สัมภาษณ์ว่า จะประสานกับกองทัพช่วย นายสุทินที่เป็น รมว.กลาโหมพลเรือน อีกแรงหนึ่ง
และเห็นได้จากการที่ นายเศรษฐา เชิญ “บิ๊กอ๊อบ” พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ว่าที่ผู้บัญชาการทหารสูงสุดคนใหม่ ร่วมคณะไปสหรัฐอเมริกา ในโอกาสที่ไปประชุมองค์การสหประชาชาติที่นิวยอร์กด้วย เพราะต้องมีเรื่องหารือด้านความมั่นคง กับ มิตรประเทศ
หรือแม้แต่บทบาทของนายเศรษฐาที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาเครื่องยนต์เรือดำน้ำของกองทัพเรือที่คาราคาซังมาหลายปีจากการที่เยอรมันไม่ขายเครื่องยนต์ MTU 396 ให้จีนมาใส่ในเรือดำน้ำของกองทัพเรือไทยจนทำให้เรือดำน้ำลำแรกไม่สามารถต่อได้เสร็จ
โดยนายเศรษฐา นัดที่จะหารือกับประธานาธิบดีเยอรมนีเพื่อเจรจาขอให้ขายเครื่องยนต์ไปใส่เรือดำน้ำให้ แม้จะมีรายงานว่าเยอรมันเลิกผลิตผลิตเครื่องยนต์ รุ่นนี้ไปนานแล้วก็ตาม
นอกจากนี้จะเห็นได้ว่านายเศรษฐาพยายามใช้ภาพของรัฐบาลพลเรือนนายกรัฐมนตรีพลเรือนรมว.กลาโหมพลเรือน รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง พลเรือนเข้ามาล้างภาพรัฐบาลทหาร ในห้วง 9 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ยุคคสช. รัฐประหาร ที่พลเอกประยุทธ์นั่งยาว 9 ปี รวมทั้งมีแนวทางที่จะให้พลเรือนคุมหน่วยงานความมั่นคงทั้งสภาความมั่นคงแห่งชาติ และคณะหัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้
จึงน่าจับตามองว่าจะมีการตั้ง “บิ๊กแป๊ะ” พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก อดีตปลัดกลาโหม ที่พลาดเก้าอี้ผู้ช่วยรัฐมนตรี กลาโหม มาเป็นที่ปรึกษานายกฯ ด้านการทหารและความมั่นคงจริงหรือไม่
หลังจากที่โดนเบียด ออกมาจากกลาโหม ที่คาดกันว่า น่าจะเกิดจาก แรงกดดัน จากขั้วอำนาจเก่าหรือไม่ เหล่านี้จึงเป็นย่างก้าวที่สำคัญของ นายเศรษฐา ที่ถูกจับตามองว่าจะมีอิสระในการบริหารราชการและการตัดสินใจต่างๆหรือไม่ เพราะถูกมองว่า เป็นสายตรง อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ และ นายทักษิณกุมบังเหียนอยู่ด้วย
นายเศรษฐา ย่อมไม่ละเลยกับท่าทีของกองทัพ และผู้บัญชาการเหล่าทัพ อาจกล่าวได้ว่าเวลานี้นายเศรษฐา ใช้กลยุทธ์เดียวกับ นางสาวยิ่งลักษณ์ คือทำดีและเพิ่มความใกล้ชิดกับผู้บัญชาการเหล่าทัพ แม้แต่การให้เกียรติด้วยการ ออกมาปกป้องกองทัพในการอภิปรายการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา เมื่อฝ่ายค้านโดยเฉพาะพรรคก้าวไกล ลุกขึ้นมาอภิปรายโจมตี ประชดประชันกองทัพ นายเศรษฐา ก็ลุกขึ้นมาชี้แจงแทน และเรียกกองทัพว่าเป็นสถาบันอันทรงเกียรติ และตำหนิฝ่ายค้าน ที่ใช้การส่อเสียดการหัวเราะเยาะ เป็นการด้อยค่ากองทัพ
ท่ามกลางกระแสข่าวว่าใน 6-8 เดือนข้างหน้า อาจจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีในภาพรวม รวมถึงเก้าอี้สนามไชย 1 ของนายสุทินด้วย เพราะนายทักษิณ และ นายเศรษฐา ยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากขั้วอนุรักษ์นิยม ที่ต้องการให้บิ๊กทหารหลายคนมาเป็น รมว.กลาโหม อยู่
ในขณะที่นายสุทินเอง ก็รู้ถึงความเคลื่อนไหวนี้ดี จึงพยายามที่จะทำงานกับกองทัพเข้ากับทหารให้ได้มากที่สุด ทำดีกับทหารช่วยชี้แจงและอยู่อย่างเข้าใจ และ ยึดนโยบาย ของ นายเศรษฐาที่ว่าไม่ปฏิรูปกองทัพแต่จะพัฒนากองทัพ
รวมถึงการระมัดระวังในการเลือกทีมงานมาทำงานหน้าห้องทั้งพลเรือนและทหาร จนมีข่าวว่ามีการมีชื่อนายทหาร ทั้งทหารเก่าและทหารในกลาโหม และเหล่าทัพ ถูกส่งมาเป็นทีมงานมากกว่า 100 คนเพื่อให้นายสุทิน คัดเลือก และจะไม่เลือก คนที่ถูกมองว่า เป็น สายทหารแตงโม ที่สะท้อนว่า ก็ยังหวาดหวั่น จะเกิดปัญหาความขัดแย้งภายใน
เพราะ กระทรวงกลาโหม ในยุคนายสุทิน มีนายทหาร 3 ก๊ก อยู่ ก๊ก แรก คือ สายบ้านป่ารอยต่อฯ เพราะ พล.อ.ประวิตร ก็เคยเป็น รมว.กลาโหม นาน 5 ปี ในยุค คสช. และ มี “บิ๊กช้าง” พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล สายตรง มาเป็น รมช.กลาโหม ยาว 6 ปี รวมทั้งในยุคที่ พล.อ.ประยุทธ์ ควบ รมว.กลาโหม ด้วย จึงมีการวางตัวนายทหารในตำแหน่งต่างๆไว้ไม่น้อย
ก๊กที่ 2 คือ สายตรง บิ๊กตู่ ที่เพิ่งเป็น รมว.กลาโหม คนก่อน และก็วางตัวนายทหาร ที่สนิทสนม ไว้ในหลายตำแหน่ง
และ ก๊กที่ 3 คือ ทหารแตงโม ที่สนิทสนม กับ 2 อดีตนายกฯ สายชินวัตร สายบ้านจันทร์ส่องหล้า
ดังนั้นกระทรวงกลาโหมจึงเป็นอีกสายล่อฟ้าของรัฐบาลนี้