ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนส.ค.กลับมาดีขึ้นทุกรายการ หลังมีความชัดเจนตั้งรัฐบาลใหม่ ลดค่าไฟ-น้ำมัน-ฟรีวีซ่าหนุน

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจกล่าวถึงผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคประจำเดือนสิงหาคม 2566 โดยดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นอีกครั้งหลังจากเดือนที่แล้วที่ปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 14 เดือน เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มกลับมามีความเชื่อมั่นในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ว่า จะจัดตั้งได้เร็วเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้นหลังจากที่มีการแต่งตั้งนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย และเห็นว่าการเมืองไทยจะมีเสถียรภาพมากขึ้นในอนาคตหลังจากที่มีการจัดตั้งรัฐบาลสลายขั้วการเมืองต่างๆ ที่มีความเห็นแตกต่างกันโดยที่ความขัดแย้งทางการเมืองน่าจะคลี่คลายลง ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทุกรายการปรับตัวดีขึ้นทุกรายการ

โดยผู้บริโภคยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับค่าครองชีพที่ยังทรงตัวสูงโดยเฉพาะค่าไฟฟ้ารวมถึงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ตลอดจนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อของประเทศต่างๆทั่วโลกที่อาจเป็นปัจจัยที่เพิ่มแรงกดดันของการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งส่งผลลบต่อการส่งออกของไทยทำให้การส่งออกในช่วงนี้หดตัวลง และมีผลกระทบในเชิงลบต่อกำลังซื้อของประชาชนในทุกภูมิภาค

ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ระดับ 51.6 53.9 และ 65.2 ตามลำดับ ปรับตัวดีขึ้นทุกรายการเมื่อเทียบกับดัชนีในเดือนกรกฎาคมที่อยู่ในระดับ 50.3 52.7 และ 63.9 ตามลำดับ แสดงว่าผู้บริโภคเริ่มกลับมามีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยสามารถกลัยมาฟื้นตัวได้หลังมีการจัดตั้งรัฐบาล อย่างไรก็ตามดัชนียังอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ (ที่ระดับ 100) แสดงว่าผู้บริโภคยังไม่มีความมั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ โอกาสในการหางานทำ และรายได้ในอนาคต เพราะมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในประเทศ ราคาพลังงานและค่าครองชีพที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ตลอดจนปัญหาเศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะชะลอตัวลง ซึ่งจะส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจไทยและการจ้างงานมีโอกาสฟื้นตัวได้ช้าในอนาคต ซึ่งจะทำให้รายได้ในอนาคตของผู้บริโภคมีความไม่แน่นอนสูง

ขณะเดียวกันการปรับตัวดีขึ้นของดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคของผู้บริโภค (Consumer Confidence Index: CCI) ที่ปรับตัวจากระดับ 55.6 เป็น 56.9 เป็นการปรับตัวดีขึ้นหลังจากการปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 14 เดือนเพราะการจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้า อย่างไรก็ตามการที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมยังคงเคลื่อนไหวคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 100 แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงเห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังคงฟื้นตัวช้าค่าครองชีพสูงและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศไทยและทั่วโลก ส่งผลกระทบทางจิตวิทยาในเชิงลบต่อกำลังซื้อภายในประเทศ ภาคการท่องเที่ยว ภาคการส่งออก ธุรกิจโดยทั่วไป และการจ้างงานในอนาคต โดยยังคงมีโอกาสบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและในอนาคตได้อย่างต่อเนื่องในระยะอันใกล้นี้

โดยความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบันปรับตัวดีขึ้น จากระดับ 40.7 เป็น 41.7 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคตปรับตัวดีขึ้นเช่นเดียวกัน โดยปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 62.8 มาอยู่ที่ระดับ 64.2 การที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลับมาปรับตัวดีขึ้นทุกรายการ แสดงว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เริ่มกลับมาปรับตัวดีขึ้นจากสถานการณ์การเมืองและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่มีเสถียรภาพ ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคน่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากรัฐบาลใหม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมอย่างรวดเร็วภายใต้นโยบายที่ได้หาเสียงไว้ 

นายธนวรรธน์กล่าวถึงมาตรการของรัฐบาลในการปรับลดราคาน้ำมันและค่าไฟฟ้าว่า จะช่วยลดค่าครองชีพให้กับประชาชน และลดต้นทุนการขนส่งให้กับภาคธุรกิจ ทำให้เงินเฟ้อไม่สูง และไม่เป็นการเพิ่มแรงกดดันในการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จากกรอบเป้าหมายเงินเฟ้ออยู่ที่ 1-3% อัตราดอกเบี้ยจึงไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นไป นอกจากนี้ คาดว่าแบงก์ชาติจะยังคงดอกเบี้ย 0.25%

สำหรับมาตรการวีซ่าฟรีให้แก่นักท่องเที่ยวจีน และคาซัคสถานนั้น จะช่วยให้นักท่องเที่ยวจีนเข้ามาไทยคล่องตัวมากขึ้น เพราะตรงกับช่วงวันชาติของจีนในเดือนตุลาคม 2566 ซึ่งเป็นวันหยุดยาว คาดว่าไตรมาส 4 จะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามา เดือนละ 7-8 แสนคน โดยมองว่าจะมีเข้ามาประมาณ 1 ล้านคน ได้ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 0.3-0.5% เพราะมีเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจประมาณ 50,000 ล้านบาท

ส่วนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ที่คาดว่าต้องใช้งบประมาณ 5 แสนล้านบาทนั้น คาดว่าจะทำให้เกิดการหมุนของเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจได้ 2-3 รอบ ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตได้เพิ่มขึ้น 2-3% และมีโอกาสที่จะทำให้ปี 67 เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ที่ระดับ 4-5% และเศรษฐกิจไทยในปี 2566 โอกาสโตได้ 3% ในปีนี้จากนโยบายรัฐ