เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 12 ก.ย. 66 ที่รัฐสภา นางภรภัทร สุขเจริญ ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การสุรา(สร.สร.) ยื่นหนังสือแก่พรรคก้าวไกล โดยมีนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กทม. และรองเลขาธิการพรรคก้าวไกลเป็นตัวแทนรับ เพื่อขอให้ตรวจสอบการกระทำที่เข้าข่ายทุจริตเชิงนโยบายจากการออกประกาศ ของกรมสรรพสามิตที่เอื้อประโยชน์ให้เอกชน และตรวจสอบเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้าข่ายทุจริตต่อหน้าที่ ปฏิบัติ หรือละเว้นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบที่ทำให้รัฐเสียหาย และรัฐสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษี 

โดยนางภรภัทร กล่าวว่าว่า ในนามของสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การสุรา เราต้องการขอให้สส. ช่วยตรวจสอบการออกประกาศของกรมสรรพสามิตที่อาจเอื้อประโยชน์ให้เอกชน ทำให้รัฐสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษี และอีกในทางนึงคือรัฐวิสาหกิจซึ่งมีภารกิจหลักในการหารายได้เข้ารัฐกำลังได้รับผลกระทบจากประกาศของกรมสรรพสามิตเช่นเดียวกัน วันนี้เราต้องการเรียกร้องให้คืนรายได้ทั้งหมดที่เราสูญเสียไปกลับเข้ามาสู่ประเทศดังเดิม

ด้านนายณัฐชา กล่าวว่า หลังจากที่ตนได้รับหนังสือและทราบผลประกอบกิจการขององค์การสุราฯ ก็เป็นที่น่าตกใจมาก เนื่องจากองค์การสุราฯ ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2506 จนถึงปัจจุบันปี 2566 เป็นเวลากว่า 60 ปี ไม่เคยขาดทุนเลยแม้แต่ปีเดียว แต่ผลปรากฏว่าตั้งแต่ต้รปี 2566 จนถึงวันนี้ขาดทุนต่อเนื่องไปแล้ว 9 เดือนเต็ม เกิดอะไรขึ้น องค์การสุราฯ กำลังเข้าสู่วิกฤติ และช่วงเวลาแห่งการล่มสลาย ซึ่งทางตัวแทนของสหภาพแรงงานยอมไม่ได้ จึงต้องมาขอให้สส. ได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดคุยในสภาผู้แทนราษฎร หากองค์การสุราฯ นี้จะต้องสูญสลายหายไป พี่น้องประชาชนคนไทยทั้งชาติก็จะต้องรับรู้เรื่องราวที่แท้จริงว่า เหตุที่แท้จริงแล้วองค์การสุราฯ นี้ล่มสลายได้อย่างไร เป็นเพราะโลกที่เปลี่ยนแปลงไป หรือว่าเป็นเพราะข้าราชการภายในมาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากองค์การสุราฯ ภายใน

นายณัฐชา กล่าวด้วยว่า มิหนำซ้ำที่ร้ายไปกว่านั้นคือ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการยักย้ายถ่ายโอนผลประโยชน์ขององค์การสุราฯ นี้ กำลังขึ้นสู่อำนาจในตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลนี้ สาเหตุที่วันนี้เราจะต้องเร่งแถลงให้กับพี่น้องประชาชนทราบ ก็เพราะว่าเรื่องราวในขณะนี้มันเริ่มส่อเค้ารุนแรงยิ่งขึ้น สหภาพแรงงานเองที่ได้เปิดโปงเปิดเผยต่อสถานที่ต่างๆ เริ่มไม่ได้รับความปลอดภัย สภาผู้แทนราษฎรเราจึงไม่นิ่งนอนใจ และปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปไม่ได้ 

ฝ่ายนายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร สส.กทม. พรรคก้าวไกล กล่าวเสริมว่า ตลอดระยะเวลา 10 ปีย้อนหลังที่ผ่านมาทางองค์การสุราฯ ได้ส่งหนังสือไปยังหน่วยงานต่างๆ รวมแล้วเกือบ 20 ฉบับ แต่หนังสือทุกฉบับไม่เพียงแต่ไม่มีการตอบรับ ไม่มีการส่งหนังสือกลับมาตอบคำถามแต่ประการใด เป็นเรื่องที่เงียบสนิทอยู่ในองค์การสุราฯ ที่กำลังอยู่ในช่วงดิ่งลงเหวและมิหนำซ้ำ เมื่อองค์การสุราฯ ได้ไปแจ้งเรื่องผ่านสื่อต่างๆ ก็มีกระบวนการที่ไม่ชอบมาพากล และถูกปิดกั้น เนื่องจากผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากบริษัทที่มาล้วงเอาทรัพย์สินที่เป็นสมบัติของชาติ เอาภาษีที่ควรจะตกเป็นของแผ่นดิน เป็นบริษัทที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนักการเมืองหลายๆ คน และเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียง พูดชื่อไปพี่น้องประชาชนทุกท่านทราบดีซึ่งเขากำลังทำการยักย้ายถ่ายโอนผลประกอบการรายได้ของขององค์การสุราฯ

นายเท่าพิภพ กล่าวต่อว่า ตลอดระยะเวลาที่มีประกาศของกระทรวง รายได้องค์การสุราฯ ดิ่งลงเหว แต่ก็ยังได้ผลประกอบการอยู่ เนื่องจากว่าบริษัทองค์การสุราฯ มีผลประกอบการที่ค่อนข้างสูง ซึ่งเมื่อเอาตัวรอดผ่านวิกฤตมาได้ในแต่ละครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่รุนแรงที่สุด เนื่องจากมีการออกประกาศไว้หลายฉบับที่ไม่ชอบมาพากล ทิ้งทวนก่อนเกษียณอายุ และสุดท้ายก็กำลังขึ้นสู่อำนาจในตำแหน่งระดับสูงของรัฐบาลนี้ด้วย เพราะฉะนั้น เรามีข้อกังวลสงสัยว่า อาจจะเป็นการปิดตำนานองค์การสุราฯ ให้ตายสนิท

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า รายละเอียดของการใช้ประกาศดังกล่าว มีส่วนไหนที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต นายเท่าพิภพ ระบุว่าเรื่องนี้เป็นหลักการที่พรรคก้าวไกล และตนเอฝพูดมาหลายครั้งว่า เมื่ออำนาจทางการเมืองหรืออำนาจรัฐโดนอำนาจเงินเจือจางอำนาจของประชาชน ก็มักจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น โดยนายเท่าพิภพ ได้ยกตัวอย่างการทำแอลกอฮอล์ที่ใช้ช่องว่างทางกฎหมาย ที่มีการใช้วัคถุเจือปนอาหารมาผสมกับสุรา และผสมดื่มได้ ทั้งๆ ที่ผิด พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิตอย่างชัดเจน แต่ซ้ำร้ายในตอนหลังมีการประกาศให้วัตถุเจือปนถูกยกเว้นภาษีเป็นศูนย์ โดยไม่ต้องเสียภาษีอะไรเลย

อีกทั้ง ได้รับคำบอกเล่าว่าสุราก็จะเป็นทำบ้าง กับวัตถุเจือปนอาหารเพื่อขอภาษีเป็นศูนย์ ซึ่งกรมสรรพสามิตไปตรวจและระบุว่าทำไม่ได้ ทั้งๆ ที่น้ำสุรา กับแอลกอฮอล์เหมือนกัน แสดงให้เห็นชัดเจนว่ามีนอกมีในอยู่แล้ว รวมถึงได้ทราบว่าคนที่เกี่ยวข้องหลายคนที่เกษียณอายุ ก็ได้ไปเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทดังกล่าว ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาเพราะเงินที่เราควรจะได้เป็นภาษีไม่ติดแอร์ให้ห้องเรียน กทม. หรือการพัฒนาคมนาคม แต่คนเหล่านี้ ก็เอาเงินที่ประชาชนควรจะได้เข้าสู่กระเป๋าของตัวเอง และไม่เป็นธรรม 

โดยเบื้องต้น ตนเองจะตั้งกระทู้ถามในรัฐสภา และเข้ากรรมาธิการ รวมถึงกลไกต่างๆ ในภา ถ้าเกี่ยวเนื่องถึงผู้มีอำนาจ นักการเมืองในสภา ที่มีความไม่ชอบมาพากลก็จะให้นายณัฐชา อภิปรายไม่ไว้วางใจต่อไป

สำหรับความเสียหายที่รัฐสูญเสียจาดการใช้ช่องว่างดังกล่าวนั้น ตกปีละ 200 ล้านบาท ซึ่งได้รับรายงานเรื่องดังกล่าวว่า ภายหลังการออกประกาศกว่า 10 ปี ทำให้สูญเสียไปกว่า 2 พันล้านบาท

ส่วนที่บอกว่าผู้เกี่ยวข้องเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลของนายเศรษฐา นายณัฐชา กล่าวว่า ไม่สามารถระบุตัวบุคคลที่เจาะจงได้ แต่พี่น้องประชาชน และสื่อมวลชนสามารถไล่เรียงไทม์ไลน์จากเอกสารว่าใครเป็นคนเซ็นลงนามในประกาศของกรมสรรพสามิต ซึ่งภายหลังจากที่มีการเจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากที่ปรึกษาบริษัทดังกล่าว เข้ามามีส่วนร่วมในคณะรัฐมนตรีชุดนี้ โดยหลังจากที่พรรคก้าวไกลได้นำเรื่องนี้เข้าสู่การอภิปรายในประชุมสภา จะชี้ให้เห็นในเชิงลึกว่ากระบวนการที่มาเป็นอย่างไร