เมื่อวันที่ 11 ก.ย.2566 นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เดินทางเข้ารับตำแหน่งที่กระทรงสาธารณสุขอย่างเป็นทางการวันแรก โดยได้เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวง ประกอบด้วย พระพุทธนิรามัย ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ศาลพระพรหม พระราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พระอนุสาวรีย์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาชัยนาทนเรนทร พระอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ พระพุทธมหานวนาคปฏิมากร จากนั้นเข้าห้องทำงานชั้น 4 ลงนามในหนังสือเข้ารับหน้าที่ในตำแหน่งอย่างเป็นทางการ โดยมี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขและเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัดให้การต้อนรับ
นพ.ชลน่าน ให้สัมภาษณ์ภายหลังการเข้ารับตำแหน่งว่า ตนมีโอกาสกลับมาทำงานที่กระทรวงสาธารณสุขอีกครั้งในตำแหน่งรมว.สาธาราณสุข หลังจากที่เมื่อ 10 ปีก่อนได้ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งรมช.สาธารณสุข ซึ่งขอบคุณผู้บริหารและทุกภาคส่วนที่มาต้อนรับ ทั้งนี้ ตนเข้ามาทำงานตั้งแต่วันที่ 7-8 ก.ย.แล้ว แต่วันนี้เป็นเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการและสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิประจำกระทรวง อย่างไรก็ตามในการดำเนินงานจะนำนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภามาแปลงเป็นนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขและนำไปสู่แผนการปฏิบัติ โดยจะแถลงนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขในวันที่ 22 กันยายนนี้ เช่น เรื่องการยกระดับ 30 บาทรักษาทุกโรคก็จะมีความชัดเจนมากขึ้น โดยเป็นการเพิ่มคุณภาพประสิทธิภาพทุกมิติ ทั้งการส่งเสริมป้องกัน การรักษา การฟื้นฟู และเรื่องสุขภาวะ และจะต้องตอบโจทย์เรื่องสุขภาพเชิงสังคมที่ยังมีปัญหาอยู่มาก จะเป็นการยกระดับให้ดีขึ้น มีคุณภาพ ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ในทุกมิติทั้งการสร้างเสริมสุขภาพป้องกัน รักษา ฟื้นฟู และตอบคำถามเรื่องสุขภาวะ ภาวะสุขภาพดีที่มีความสมบูรณ์พร้อมทั้งร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณ ปัญญาและสังคม เพราะปัจจุบันสุขภาพเชิงสังคมมีปัญหามากในบ้านเมือง
ส่วนการบูรณาการกองทุนสุขภาพอื่นๆ จะดูเชิงระบบทั้งหมด ซึ่งในมิติสุขภาพอยู่ในภาระงานของกระทรวงสาธารณสุข 60-70% จึงต้องเป็นแกนหลักขับเคลื่อน โดยจะตั้งเป็นคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (National Health Board) มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และรัฐมนตรีทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพเข้าร่วมเพื่อวางแนวทางการขับเคลื่อนเชิงนโยบายทั้งหมด ทั้งนี้ บทบาทแต่ละหน่วยงานรวมถึงกระทรวงสาธารณสุขไม่ได้ลดลง แต่กระทรวงฯ จะมีความเข้มแข็งมากขึ้น เพราะเป็นจุดเชื่อมต่อประสาน
“การทำงานของผมจะให้ความสำคัญเรื่องบุคลากร เพราะมิติด้านสุขภาพ บุคลากรด้านสุขภาพมีส่วนสำคัญมาก ได้วางเข็มมุ่งว่า กระทรวงสาธารณสุขน่าจะมีการบริหารจัดการเอง มีคณะกรรมการบริหารงานบุคคลเอง มีกฎหมายมารองรับเป็นการเฉพาะ ซึ่งอยู่ระหว่างการปรึกษาหารือ รวมถึงให้ความสำคัญกับเรื่องการสร้างความสมานฉันท์ปรองดอง โดยจะแปลงความเห็นต่างมาเป็นความเห็นร่วม เพื่อขับเคลื่อนงานสุขภาพร่วมกัน สำหรับข้อเรียกร้องของกลุ่มต่างๆ สามารถเข้ามาหารือได้ตลอด ถือเป็นปัญหาที่ต้องช่วยกันดูแล” นพ.ชลน่านกล่าว





