โจรใจบาป ย่องยกเค้ากุฎิพระ ห้องพักญาตโยมที่มาทำบุญ พระถึงกับกุมขมับขโมยทุกอย่าง ตั้งแต่เงินสด โทรศัพท์มือถือ กระเป๋าแบรนด์เนม แท็บเล็ต ยันไฟฉาย และ กาแฟ 3in1 รวมมูลค่ากว่า 1 แสนบาท วอนตำรวจเร่งจับคนร้าย ล่าสุดคดียังเงียบ

วันที่ 8 กันยายน 2566 พระนิฐิเมธ อภิเมโธ เจ้าอาวาสสำนักสงฆ์เขาช่องประดู่ ต.หัวหิน อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ หรือ หลวงพี่แบงค์ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่วัดถูกคนร้ายเข้ามาขโมยทรัพย์สินภายในวัด โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งวันดังกล่าวมีญาตโยมมาร่วมถือศีลปฎิบัติธรรมกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งช่วงเวลา 04.30-06.00 น. เป็นช่วงเวลาที่พระสงฆ์ แม่ชี พร้อมด้วยอุบาสก อุบาสิกา ภายในวัดมารวมกันทำวัตรสวดมนต์เช้าที่ศาลาอเนกประสงค์ของวัด ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวคือช่วงเวลาที่คนร้าย ฉวยโอกาสแฝงตัวมาในความมืด ตะเวนงัดแงะ รื้อค้นทรัพย์สิน และขโมยสิ่งของมีค่าภายในกุฎิพระ และห้องพักของอุบาสก อุบาสิกา ที่มาพักภายในวัด ได้ทรัพย์สินไปจำนวนมาก มีทั้ง เงินสด โทรศัพท์มือถือ กระเป๋าแบรนด์เนม แท็บเล็ต สมาร์ทวอทช์ หูฟัง ไฟฉาย หรือแม้แต่ กาแฟ 3in1 ก็ยังถูกขโมยไป รวมมูลค่าทรัพย์สินที่สูญหายไป มากกว่า 1 แสนบาท 

โดยหลังสวดมนต์เสร็จพระได้กลับกุฎิเพื่อเตรียมตัวไปบิณฑบาต พบว่ากุฎิถูกรื้อค้นข้าวของกระจัดกระจาย จึงได้รู้ตัวว่าถูกคนร้ายบุกเข้าขโมยทรัยพ์สินดังกล่าว จึงได้แจ้งให้ทุกคนภายในวัดได้ตรวจสอบทรัพย์สิน และตรวจพบรอยเท้าเปล่า ไม่ได้ใส่รองเท้า ปรากฏที่พื้นดิน หลังห้องพักของอุบาสก อุบาสิกา ลักษณะคล้ายแอบซุมดูอยู่ โดยทิศทางหันมาทางศาลาอเนกประสงค์ โดยหลังจากตรวจสอบแน่ชัด ทางวัดได้แจ้งความกับ สภ.หัวหิน เพื่อขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยติดตามคนร้าย และร้องขอให้ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน มาตรวจสอบเก็บรอยนิ้วมือแฝงและ DNA.ที่ปรากฏในที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งคาดว่าคนร้ายน่าจะมาดูลาดเลาหลายครั้งแล้วจนทราบว่า ช่วงเวลาใดที่พระไม่ได้อยู่กุฎิ และทราบพิกัดติดตั้งกล้องวงจรปิดภายในวัด ทำให้คนร้ายสามารถหลบเลี่ยงมุมกล้องวงจรปิดภายในวัดไปได้ทั้งหมด 

พระนิฐิเมธ กล่าวเพิ่มเติมว่า หนึ่งในโทรศัพท์มือถือที่คนร้ายขโมยไปเป็นของหลวงตาในวัด แม้จะเป็นรุ่นเก่า แต่ทางลูกชายของหลวงตาได้ติดตั้งแอพเข้ากับรถยนต์และเชื่อมต่อกับอีเมล์ไว้ ทำให้หลังเกิดเหตุ ทราบพิกัดสุดท้ายก่อนที่มือถือเครื่องดังกล่าว จะถูกปิดเครื่องไป ทางวัดได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบและติดตามไปถึงห้องเช่าแห่งหนึ่ง ใน ต.หนองแก เมื่อตำรวจไปถึงพิกัดดังกล่าว กลับไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ ทำให้ทางวัดติดใจสงสัย เหตุใดถึงไม่สามารถขอเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ ทั้งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่า พบรู้เป้าหมายว่าน่าจะเป็นบุคคลใด แต่ไม่สามารถทำอะไรเพิ่มเติมได้ จะไปสืบต่อตามวิธีของตำรวจ แต่จนถึงขณะนี้ นานกว่า 1 สับดาห์ คดีก็ยังเงียบไม่มีความคืบหน้าใด ๆ 

หลังเกิดเหตุ เวลาล่วงเลยเนินนานมากว่ากว่า 1 สับดาห์แล้ว แต่คดียังไม่มีความคืบหน้า ยังไม่สามารถติดตามจับกุมคนร้ายได้ ทางวัดและญาตโยม ยังคงหวังว่าจะได้ทรัพย์สินที่หายไปกลับคืนมา หากไม่สามารถจับคนร้ายได้ พระต้องอยู่อยากหวาดระแวง และเป็นห่วงญาตโยมที่มาทำบุญที่จะต้องสูญเสียทรัพย์สินอีกหรือไม่ อยากให้ตำรวจเร่งมือ ติดตามคนร้ายได้โดยเร็ว เพราะนอกจากที่วัดจะถูกคนร้ายก่อเหตุแล้ว ก่อนหน้านี้ ทราบว่ามีวัดของท่านเจ้าคณะตำบล ท่านก็ถูกคนร้ายก่อเหตุเข้าไปขโมยทรัพย์สินในลักษณะเดียวกัน และยังจับคนร้ายไม่ได้เช่นเดียวกัน  

สำหรับการป้องกันเบื้องต้นขณะนี้ ทางวัดยอมรับว่า พื้นที่วัดกว้างมาก พื้นที่วัดเปิดโล่งและไม่มีรั้วรอบขอบชิด จะห้ามมิให้บุคคลใด หรือ ชาวบ้านเข้ามาภายในวัดก็เป็นไปไม่ได้เพราะวัดอยู่ร่วมกับชุมชน ขณะนี้ทำให้เพียงเพิ่มกล้องวงจรปิดไปตามพิกัดหรือเส้นทางต่าง ๆ ภายในวัดให้มากที่สุด รวมทั้งพระและแม่ชี ได้นำปัจจัยส่วนตัว ซื้อกล้องวงจรปิด ติดตั้งเพิ่มในกุฎิที่พักของตัวเอง เพื่อเพิ่มความปลอดภัยอีกขั้นหนึ่งด้วย 

“อยากวิงวอนให้ตำรวจได้เร่งคลี่คลายคดีโดยเร็วที่สุด ทำให้เป็นคดีตัวอย่าง เพราะวัดอยู่ลำบากหวาดระแวง หรือแม้แต่บ้ประชาชนเอง ก็ต้องหวาดระแวงไปด้วย คนร้ายยังคงลอยนวลและพร้อมจะก่อเหตุได้ใหม่ทุกเมื่อเพราะเคยเข้ามาก่อเหตุไปแล้วแต่ไม่ถูกจับ ทางวัดได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจไปแล้วว่าโทรศัพท์มือถือมีเลข IMEI เครื่อง ซึ่งเป็นหน้าที่ของตำรวจที่จะต้องประสานกับเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ว่าเครื่องถูกขโมย เพื่อเป็นข้อมูลอาชญากรรม เมื่อเครื่องถูกเปิดขึ้นมาอีกครั้งจะสามารถทราบพิกัด และรู้ได้ทันทีว่าเครื่องที่ถูกขโมยไปอยู่ที่ใด จะสามารถติดตามเครื่องได้ จากนั้นถึงจะค่อยตรวจสอบที่มาของเครื่องต่อว่า ที่มาปรากฎล่าสุดนั้น ใครเป็นคนนำมาขายหรือนำมาใช้งาน ฯลฯ แต่ไม่รู้ทางตำรวจได้ประสานงานหรือยัง” พระนิฐิเมธ กล่าว

ด้านหลวงพี่เป้ หนึ่งในพระลูกวัด กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนถูกขโมยเงินหายไป 3,500 บาท บัตรสำคัญสูญหายทั้งหมด เหลือเงินเป็นเศษเหรียญไว้ให้ 25 บาท แต่ไฟฉายไม่หาย เพราะวันเกิดเหตุ ใช้ส่องทางมาสวดมนต์ทำวัตรเช้าด้วย ทำให้รอดไป ไม่เช่นนั้นไฟฉายก็คงหายด้วยเช่นกัน 

ขณะที่แม่ชี ระบุว่า มีญาตโยม นำไฟฉายแบบชาร์ตไฟได้มาถวายพระสงฆ์และแม่ชีในวัดในวันเข้าพรรษา แต่ก็ถูกคนร้ายขโมยไปยกกล่องทั้งที่ชาร์จแบต ทำให้สงสัยว่าขโมยไปทำอะไร เพราะไม่ได้ราคาแพง แต่ยังทำให้พระซึ่งใช้ไฟฉายส่องทางเดินเวลามาสวดมนต์ไม่มีใช้งานต้องเดินลำบากด้วย