คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย

เป็นเรื่องน่าทึ่งและน่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่งที่ทำเนียบขาวได้กลายเป็นแหล่งทำเงินให้แก่เหล่าอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ

อาทิ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯคนแรก “จอร์จ วอชิงตัน”มีที่ดินมากกว่า 50,000 เอเคอร์ แถมยังมีทาสหลายร้อยคนและมีคฤหาสน์ใหญ่โตมโหฬารมีห้องมากมายถึง 21 ห้อง!!! (จากหนังสือพิมพ์ Los Angeles Times: Feb. 21, 2022 “How the White House became a path to obscene riches for ex-presidents)

แต่ทว่าในทางตรงกันข้ามกลับพบว่า “อดีตประธานาธิบดีแฮรี ทรูแมน” ที่เป็นผู้ออกคำสั่งให้ทิ้ง “ระเบิดปรมาณู” หรือที่เรียกกันในปัจจุบันนี้ว่า “ระเบิดนิวเคลียร์” บอมบ์เมืองนางาซากิและฮิโรชิมะ เมื่อปี ค.ศ. 1945 และหลังจากที่ประธานาธิบดีทรูแมนพ้นจากตำแหน่งปรากฏว่ามีทรัพย์สินอยู่ในครอบครองไม่ถึงหนึ่งล้านเหรียญ อีกทั้งชีวิตความเป็นอยู่ก็ค่อนข้างลำบากจนถูกจัดให้อยู่ในตำแหน่งอดีตประธานาธิบดีที่มีความยากจนที่สุด

อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่าในช่วงห้าสิบปีที่ผ่านมาปรากฏว่าอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯทุกๆคนภายหลังที่พ้นออกจากตำแหน่งส่วนใหญ่แล้วจะกลายเป็นเศรษฐี แต่ที่กล่าวมาพวกเขาเหล่านี้ก็มิได้ร่ำรวยจากการโกงบ้านกินเมือง แต่ได้มาด้วยความสามารถเฉพาะตัวและแลกมาด้วยประสพการณ์ที่พวกเขาต่างเก็บเกี่ยวเอาไว้!!!

ฉะนั้นเราลองหันมาวิเคราะห์กันดูว่า รายได้ของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯมาจากที่ไหนกันบ้าง สำหรับตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯนั้น นับได้ว่าเป็นตำแหน่งที่แสนทรงเกียรติและมีบารมีใหญ่โตล้นฟ้า

อนึ่งประธานาธิบดีคนแรกที่เป็นผู้บุกเบิกในการหารายได้พิเศษก็คือ “อดีตประธานาธิบดีเจอร์รัลด์ ฟอร์ด” โดยเข้ารับตำแหน่งภายหลังจากที่ “อดีตประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน” ชิงลาออกจากกรณีวอเตอร์เกตนั่นเอง

แรกเริ่มเดิมทีตอนที่อดีตประธานาธิบดีฟอร์ดก้าวขาเข้าสู่ทำเนียบขาวเมื่อปี ค.ศ. 1974 เขามียอดทรัพย์สินแค่เพียง 1.4 ล้านดอลลาร์เท่านั้น แต่หลังจากหมดวาระพ้นออกจากตำแหน่งกลับปรากฏว่ามีทรัพย์สินก่อนเสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 5.6 ล้านดอลลาร์ โดยรายได้หลักส่วนใหญ่มาจากได้รับเชิญไปกล่าวคำปราศรัยและการเข้าไปร่วมเป็นคณะกรรมการบอร์ดของวงการธุรกิจต่างๆ

ส่วนรายได้ของ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน”นิตยสาร “Forbes” ได้แจกแจงเอาไว้ค่อนข้างละเอียดดังนี้

ในช่วงที่ยังดำรงอยู่ในตำแหน่งรองประธานาธิบดีในยุคสมัยของ “ประธานาธิบดีบารัก โอบามา”นานแปดปีหรือสองวาระนั้น ปรากฏว่ามียอดทรัพย์สินแค่เพียง 2.5 ล้านดอลลาร์

แต่หลังจากพ้นตำแหน่งรองประธานาธิบดีไปแล้วกลับปรากฏว่าภายในระยะเวลาสี่ปีเท่านั้น โจ ไบเดนสามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นถึง 17.3 ล้านดอลลาร์ โดยรายได้ที่เห็นเป็นกอบเป็นกำส่วนใหญ่แล้วจะมาจากการเขียนหนังสือถึงสามเล่ม รวมถึงรายได้ที่มาจากการได้รับเชิญไปกล่าวปราศรัย โดยเฉลี่ยแล้วเขาจะได้รับเงินค่าตอบแทนในการร่วมงานและกล่าวคำปราศรัยครั้งละ 126,000 ดอลลาร์เลยทีเดียว!!!

ในกรณีของ “อดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน” ผู้ที่มีอดีตเป็นดารานักแสดงชื่อดัง โดยก่อนที่เขาจะย่างเข้าสู่แวดวงการเมืองจนก้าวขาเข้าไปพำนักอยู่ในทำเนียบขาว เขาก็มีฐานะร่ำรวยมีทรัพย์สินอยู่แล้วที่ 10.6 ล้านดอลลาร์

แต่หลังจากพ้นออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯในปีค.ศ. 1989 เขาก็พากเพียรเขียนหนังสือออกมาสองเล่ม โดยได้รับค่าตอบแทนถึง 5 ล้านดอลลาร์

สำหรับ “อดีตประธานาธิบดีจอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช”หลังพ้นจากตำแหน่งเขาได้รับค่าตอบแทนในการออกงานและกล่าวคำปราศรัยครั้งละ 75,000 ดอลลาร์ และยังได้เขียนหนังสือออกมาหลายเล่มที่ทำให้เขาได้รับค่าลิขสิทธิ์เป็นเงินจำนวนมาก

ส่วน “อดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู.บุช” ผู้เป็นลูกนั้น ปรากฏว่าหลังจากที่เขาพ้นออกจากตำแหน่งรายได้ของเขามีเพิ่มมากขึ้นกว่าสองเท่า โดยตอนแรกที่เขาเข้ารับตำแหน่งเขามีทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 20 ล้านดอลลาร์ แต่หลังจากที่พ้นออกจากตำแหน่งเขาได้รับค่าตอบแทนจากการกล่าวปราศรัยครั้งละ 100,000 ถึง 175,000 ดอลลาร์ และยังมีรายได้จากการเขียนหนังสืออีกสี่เล่ม ซึ่งแค่รายได้ของหนังสือเล่มแรกก็ปาเข้าไป 7 ล้านดอลลาร์แล้ว

สำหรับ “อดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา”นั้น เมื่อเขาเข้าสู่ทำเนียบขาวมีทรัพย์สินสุทธิเพียง 1.3 ล้านดอลลาร์ แต่ภายหลังที่หมดวาระออกจากทำเนียบขาวมีการคาดการณ์กันว่า เขามีรายได้ถึง 242.5 ล้านดอลลาร์ และเฉพาะรายได้จากเขียนหนังสือสองเล่มก็มีมากถึง 15 ล้านดอลลาร์ อีกทั้งยังมีรายได้เสริมเพิ่มเติมจากการได้รับเชิญให้ไปกล่าวสุนทรพจน์ถึงครั้งละ 400,000 ดอลลาร์ โดยขณะนี้อดีตประธานาธิบดีโอบามา ซื้อคฤหาสน์มูลค่า 8.1 ล้านดอลลาร์เอาไว้พักอยู่อาศัย!!!

สำหรับ “อดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน”นั้น ตอนที่เข้าสู่ทำเนียบขาวเขามีทรัพย์สินที่แสดงสุทธิเพียง 1.2 ล้านดอลลาร์ แต่ในระยะ 15 ปีหลังจากที่พ้นออกจากตำแหน่งเขาทำรายได้มากถึง 240 ล้านดอลลาร์ เฉพาะแค่เพียงอัตชีวประวัติของเขาก็สามารถทำรายได้มากถึง 29.6 ล้านดอลลาร์

จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาส่วนใหญ่แล้วอดีตประธานาธิบดีของสหรัฐฯแทบทุกคนจะเขียนอัตชีวประวัติ โดยบันทึกความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหมดที่มีทั้งรัก ทั้งชัง ทั้งหวาน และขมขื่นในสมัยที่รุ่งเรืองนั่งเก้าอี้ในทำเนียบขาวบรรยายออกมาเป็นเล่มให้ผู้คนได้รับทราบ!!!

โดย “อดีตประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์”หลังจากที่พ้นออกจากตำแหน่ง เขาก็ได้จดปากกาเขียนความทรงจำเล่าเรื่องราวแบบตรงไปตรงมาถึงช่วงเวลาที่อยู่ในตำแหน่งลงในหนังสือที่มีชื่อว่า “Keeping Faith: Memoires of President” จนฮิตติดตลาดเป็นที่นิยมสูงมากทีเดียว

และยังเป็นที่น่าสังเกตอีกด้วยว่าอดีตประธานาธิบดีคาร์เตอร์มีฝีมือเป็นนักเขียนที่ครองใจเหล่าบรรดาหนอนหนังสือ เพราะหนังสือที่เขาเขียนมาทั้งหมดถึง 33 เล่มส่วนใหญ่แล้วจะได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงแทบทั้งสิ้น

และภายหลังจากที่เขาออกจากตำแหน่ง ประธานาธิบดีคาร์เตอร์ ก็ยังสร้างผลงานอันโดดเด่นอีกมากมายหลายอย่าง และถึงแม้ว่าอดีตประธานาธิบดีคาร์เตอร์จะมียอดทรัพย์สินมากกว่า 60 ล้านดอลลาร์ก็ตาม แต่กลับปรากฏว่าเขาใช้ชีวิตสมถะอยู่แบบติดดิน อาศัยในบ้านธรรมดาๆเรียบง่ายไม่หรูหราอยู่ในฟาร์มปศุสัตว์ทางชนบท ของรัฐจอร์เจีย ที่เขาเป็นผู้สร้างขึ้นเองเมื่อปีค.ศ. 1961 ประเมินราคาแค่เพียง 167,000 ดอลลาร์ โดยมีราคาเฉลี่ยน้อยกว่าราคาที่ดินส่วนใหญ่ในจอร์เจียด้วยซ้ำไป ดูๆไปแล้ววิถีชีวิตของอดีตประธานาธิบดีคาร์เตอร์ช่างแตกต่างจากอดีตประธานาธิบดีของสหรัฐฯแทบทุกคน โดยขณะนี้เขายังมีชีวิตอยู่ในวัย 98 ปี

อีกทั้งที่ผ่านมาเมื่ออดีตประธานาธิบดีคาร์เตอร์ได้รับเชิญให้ไปกล่าวคำปราศรัยที่ใดๆก็ตาม เขาก็มักจะปฏิเสธไม่ยอมรับค่าตอบแทนแทบทั้งสิ้น และยังมีสิ่งที่คนอเมริกันชื่นชมต่ออดีตประธานาธิบดีคาร์เตอร์เป็นอย่างมากก็คือ ในช่วงสามสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาและภรรยาต่างมีจิตอาสา โดยทั้งคู่สมัครตัวเข้าไปร่วมช่วยสร้างบ้านให้แก่คนยากจนมาแล้วมากกว่า 4,000 หลัง และยังเป็นอาสาสมัครร่วมสร้างบ้านให้กับ “Habitat for Humanity” ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลของชาวคริสต์ ที่ทุกๆปีจะเดินทางไปสร้างบ้านในประเทศต่างๆมาแล้วมากกว่า 70 ประเทศให้แก่บรรดาผู้ยากไร้

ทั้งนี้ผมรู้สึกประทับใจด้านความซื่อสัตย์ ด้านการเคร่งครัดในศาสนา ด้านการมีวิสัยทัศน์ และในด้านที่มีอุดมการณ์อันแน่วแน่ของอดีตประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ ตั้งแต่ท่านเริ่มที่จะลงแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ จนถึงขนาดที่ผมตัดสินใจเขียนหนังสือเล่มแรก ขณะที่กำลังศึกษาในระดับปริญญาเอกที่ “มหาวิทยาลัยบริฮัม ยังก์”(Brigham Young University) เป็นเพื่อนร่วมรุ่นสมัยเดียวกันกับ “ดร.พิจิตต รัตตกุล” โดยมี “ดร.สมดี ภูสอดสี”พี่เขยของผมเข้ามาช่วยหลือดำเนินการจัดตีพิมพ์และนำรายได้ทั้งหมดมอบให้แก่องค์กรกุศลเกี่ยวกับเด็กกำพร้าในประเทศไทย

ส่วน “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์”หลังจากที่พ้นออกจากตำแหน่ง เขามักจะใช้เวลาส่วนใหญ่พักร่างอาศัยอยู่ในรีสอร์ทหรูที่ Mar-a-Lago ณ รัฐฟลอริด้า โดยนิตสาร Forbes ประเมินเอาไว้ว่ามีมูลค่ากว่า 160 ล้านดอลลาร์และยังมีทรัพย์สินอีกราวๆสองพันล้านดอลลาร์ซึ่งนับว่าเขาเป็นประธานาธิบดีที่มีฐานะร่ำรวยที่สุด

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นจะเห็นได้อย่างค่อนข้างเด่นชัดเลยว่า การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาในช่วงห้าสิบปีที่ผ่านมา ช่างเปรียบเสมือนการเข้าไปชุบตัวอาบน้ำแร่ในอ่างทองคำ และเมื่อหมดวาระออกจากการดำรงตำแหน่งแล้ว พวกเขาก็จะมีรูปทองแถมยังมีเนื้อหอมที่ทุกๆคนต่างรุมตอมเชื้อเชิญให้เข้าไปร่วมในงานเลี้ยงต่างๆที่ได้รับทั้งเกียรติ ได้รับทั้งความสนุกสนานเพลิดเพลิน และเหนือสิ่งอืนใดยังได้รับทรัพย์ก้อนโตเข้ากระเป๋าแถมให้อีกด้วย แล้วอย่างนี้จะไม่เรียกว่า “ทำเนียบขาวคือเส้นทางสู่ความร่ำรวย”ของพวกเขาได้อย่างไรละครับ