ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล

เสรีไทยในอดีตมุ่งกู้ชาติ ทว่าเสรีไทยในยุคมิลเลนเนียมมุ่งกู้ชีพของตนเอง

สังคมคนไทยในสหรัฐอเมริกาประกอบด้วยคนไทย 2-3 พวกใหญ่ ๆ พวกแรกที่น่าจะมีจำนวนมากที่สุด คือคนที่มาแสวงหาโชค บางส่วนก็หลบหนีหรือซุกซ่อนตัวเองเข้ามา โดยมีความหวังว่าจะได้มีงานทำที่สหรัฐ มีรายได้ที่ดี มีเงินเก็บ และมีความมั่งคั่งร่ำรวยในที่สุด แต่กระนั้นคนที่จะประสบความสำเร็จก็มีจำนวนไม่มาก ส่วนมากก็ยังคงต้องเป็นลูกจ้างไปตลอด ฐานะก็พอกินพอใช้ คือตราบใดที่ยังทำงานได้อยู่ก็จะพอมีรายได้ประคับประคองตัวไป หรือถ้าได้ยกระดับเป็นซิติเซ่น คือพลเมืองของสหรัฐฯ มีประกันสังคม ก็จะได้รับสวัสดิการเลี้ยงชีพไปตลอด แม้ว่าจะตกงานหรือเกษียณอายุ

พวกต่อมา เป็นคนที่เข้ามาหางานทำโดยถูกต้อง หรือขอเข้ามาประกอบอาชีพต่าง ๆ ในสหรัฐฯโดยตรง พวกนี้มักเป็นผู้ที่มีความรู้หรือมีอาชีพที่สหรัฐอเมริกาต้องการ เช่น แพทย์ พยาบาล วิศวกร และช่างมืออาชีพต่าง ๆ พวกนี้จะเป็นพวกที่มีฐานะค่อนข้างมั่นคงจนถึงร่ำรวย อย่างหลายคนที่บรรพตรู้จัก เป็นแค่ช่างไฟฟ้าหรือช่างก่อสร้างต่าง ๆ ก็มีบ้านหรู ๆ และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีมาก ส่วนพวกสุดท้ายเป็นพวกที่อยู่กึ่งกลางคนทั้งสองพวกข้างต้น คือแม้จะมีความรู้ความสามารถ แต่ถ้าหลบซ่อนเข้ามา ก็อาจจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก และโอกาสที่จะมั่งคั่งร่ำรวยก็คือแล้วแต่โชควาสนา อย่างเช่นตัวของบรรพตหรือไอ้เต๋านี้

บรรพตมีความรู้ดี จบถึงปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงของประเทศไทย ทั้งยังมีความสามารถติดตัวหลายอย่าง ทั้งฝีมือด้านการพนัน และการเป็นพ่อครัว ซึ่งเขาใช้ “ประคับประคองชีพ” อยู่ที่สหรัฐมาจนถึงทุกวันนี้ (ตอนนี้เปลี่ยนสรรพนามจากที่เคยเรียก “ไอ้เต๋า” ว่า “มัน” มาเป็น “เขา” เพราะชีวิตช่วงนี้ได้เปลี่ยนแปลงไป ส่วนหนึ่งก็ดูดีขึ้นกว่าแต่ก่อน รวมทั้งที่จะเรียกชื่อเต็ม ๆ ว่า “บรรพต” นับแต่นี้ไป) แม้ว่าในที่สุดเขาก็ได้รับกรีนการ์ด เป็นพลเมืองหรือซิติเซ่นของสหรัฐ  แต่เขาก็ยังไม่สามารถตั้งตัวได้ ส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นด้วยนิสัยส่วนตัวที่ไม่ค่อยมัธยัสถ์และใจกว้าง กับอีกส่วนหนึ่งที่เขาต้องใช้ชีวิตแบบที่ “เกินฐานะ”

เมื่อบรรพตตกลงปลงใจกับว่าที่ภรรยาของเขา ผู้เป็นลูกสาวเจ้าของร้านอาหารที่เขาทำงานเป็นพ่อครัว เขาก็พยายามที่จะยกระดับฐานะให้ดูดีขึ้น เช่น มีรถดี ๆ ขับ มีเสื้อผ้าดี ๆ ใส่ ซึ่งส่วนหนึ่งก็ได้มากจากการที่เขาไปรับจ้างทำงานล่วงเวลาที่คาสิโนในลาสเวกัส โดยใช้เวลาในช่วงวันหยุด และโดยประสบการณ์ที่ “ช่ำชอง” ของเขาทำให้เขาสามารถทำเงินได้มาก จากส่วนแบ่งที่คาสิโนแบ่งให้ เขาจึงได้จัดงานแต่งงานกับคนที่เขาหมั้นหมาย ซึ่งก็แน่นอนว่าทำให้เขายกระดับขึ้นเป็นหุ้นส่วนของร้านอาหาร รวมถึง “ชูเชฟ” หรือหัวหน้าพ่อครัวของร้านอาหารนั้นอีกด้วย

ในทางสังคม บรรพตก็ได้เข้าไปร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของคนไทยในลอสแองเจลิสอย่างเข้มแข็ง พอดีกับเป็นช่วงที่เทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่กำลังบูม ทำให้การสื่อสารระหว่างคนไทยมีความลึกซึ้งกว้างไกล ทั้งใน “ระบบปิด” และ “ระบบเปิด” มีคนไทยจำนวนหนึ่งตั้งกลุ่ม “นิวเสรีไทย” ซึ่งความจริงมีการก่อตั้งมาตั้งแต่หลังสงครามเวียตนามแล้ว อันเป็นยุคที่คนไทยจำนวนมากที่ต้องการไปแสวงโชค ฉวยโอกาสที่สหรัฐฯเปิดรับผู้อพยพจากอินโดจีน เดินทางร่วมไปกับผู้อพยพเหล่านั้นอย่างมากมาย และอีกจำนวนหนึ่งก็เป็นคนไทยที่ “หนีภัยการเมือง” คือมีปัญหากับผู้มีอำนาจรัฐ รวมถึงคนที่อยากไปแสวงหาเสรีภาพในการแสดงออก ซึ่งคนกลุ่มหลังนี่เองที่เข้ามาจัดตั้งกลุ่มนิวเสรีไทย

บรรพตเป็นคนคุยสนุก เวลาร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งที่วัดไทยหรือบ้านคนไทยในลอสแองเจลิส เขาจะชอบพูดถึงเรื่อง “เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน” ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องสนุก ๆ ขำ ๆ เกี่ยวกับพวกเจ้าต่าง ๆ อย่างที่เขาไอ้อ่านได้ฟังมา จากนั้นวงสนทนาก็แผ่ขยายเป็นเรื่องของ “ข่าวเล่าข่าวลือ” ที่แน่นอนว่ามีการใส่สีใส่ไข่กันจนเลยเถิด พอดีกันกับช่วงนั้นเป็นช่วงที่ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรี คนที่มีฉายาว่า “ตาดูดาว เท้าติดดิน” ซึ่งก็มีพลพรรคคนไทยในสหรัฐเป็นแฟนคลับเป็นจำนวนมาก ถึงขั้นตั้งขึ้นเป็นกลุ่มคนเสื้อแดงขึ้นที่หลาย ๆ มลรัฐ โดยที่บรรพตได้เข้าร่วมกลุ่มคนเสื้อแดงที่ลอสแองเจลิสนั้นก่อน แล้วต่อมาก็ถูกเชิญชวนให้เข้ากลุ่มนิวเสรีไทย

เหมือนว่าแนวคิดของกลุ่มนิวเสรีไทย ที่นำโดยกลุ่มนักวิชาการและอดีตนักการเมืองบางคน ค่อนข้างจะ “ถูกจริต” กับบรรพต คือเขาออกจะเบื่อพวกเจ้า รวมถึงศักดินาและระบบเส้นสายในประเทศไทย เขาได้เข้าไปเป็น “ผู้บริจาค” ให้กับกลุ่มนิวเสรีไทยนั้นด้วย โดยทางผู้นำของกลุ่มเสนอประเด็นว่า จะอาศัยพลังของคนเสื้อแดงและผู้นำที่อยู่ในประเทศไทย ซึ่งก็มีอุดมการณ์เช่นเดียวกัน เปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปในแนวทางนี้ให้ได้ (กลุ่มนิวเสรีไทยเป็นชื่อสมมติ เพื่อไม่ให้กระทบกับสิทธิและชีวิตของบุคคลที่อาจจะไปเกี่ยวข้อง)

ความจริงบรรพพตไม่ได้มีแนวคิดที่จะให้มีการกระทำถึงขั้นที่ “ล้มเจ้า” เพียงแต่เขามีความคิดที่ว่าเจ้าน่าจะมีการปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้นได้ อย่างที่เรียกว่า “ปฏิรูปเจ้า” มากกว่า กระนั้นแนวคิดที่มีคนอยากจะล้มเจ้าก็มีอยู่อย่าง “กว้างและลึก” โดยเฉพาะในหมู่คนไทยที่มาอยู่ในต่างประเทศ ที่หลายคนก็ล้วนแต่มี “อดีตที่ผิดหวังฝังใจ” มาจากแผ่นดินเกิดของตนทั้งสิ้น จึงรวมเอาเรื่องเจ้าที่อาจจะมีเรื่องราวที่พิสดารไปในแนวที่ไม่เป็นที่ชอบใจทั้งหลาย ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องที่เติมต่อหรือแต่งขึ้น เอามาเป็นอุดมการณ์หรือเป้าหมายของชีวิต โดยส่วนหนึ่งก็คงจะเอามาใช้เป็นเหตุผลปลอบใจ ที่ต้องอพยพหลบมาจากประเทศไทยหรือที่ยังกลับประเทศไทยไม่ได้ ด้วยความพยายามที่จะเสนอสาเหตุว่าประเทศไทยมีสิ่งที่ไม่ดีต่าง ๆ นั้นอยู่ ตั้งแต่ระดับบนจนถึงระดับล่าง ตั้งแต่เรื่องเจ้าลงมาจนถึงขโมยขโจร

เมื่อช่วงสงกรานต์ปีนี้ บรรพตได้ต้อนรับเพื่อนคนไทยที่เดินทางไปทำบุญที่วัดไทย ลอสแองเจลิส ซึ่งผมได้คุยกับเพื่อนคนไทยเหล่านี้บางคน เขาบอกว่าบรรพตมีสุขภาพไม่ดีนัก เพราะเป็นอัมพาตไปครึ่งซีกอยู่กว่าปี ตอนนี้ก็อยู่ในระยะฟื้นฟูต้องนั่งรถเข็นและเดินโดยใช้ไม้เท้าได้ระยะทางสั้น ๆ แต่บรรพตก็มาต้อนรับขับสู้เพื่อน ๆ คนไทยอย่างแข็งขัน รวมถึงเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารบางมื้อ และนำเที่ยวในบางสถานที่อีกด้วย อันแสดงถึงความเป็นคนที่มีจิตใจกว้างขวาง เป็นเพื่อนที่ดี และมีจิตใจเป็นนักสู้

ในระหว่างมื้ออาหารมื้อหนึ่ง บรรพตได้ชวนคุยเรื่อง “รัชกาลใหม่” ในประเทศไทย ด้วยความห่วงใยอย่างจริงใจว่า มีข่าวลือในทางไม่ดีเกี่ยวกับพระองค์ท่านมากมาย รวมถึงเรื่องการสืบสันตติวงศ์ ที่คนไทยในสหรัฐให้ความสนใจและพูดถึงกันมาก แต่แทนที่เพื่อนจากเมืองไทยจะได้ตอบ (ความจริงไม่มีข้อมูลที่จะตอบ และบางคนก็คิดว่าไม่สมควรที่จะตอบ) กลับต้องนั่งฟังการพรรณนาของบรรพตไปจนค่อนคืน

ผมพยายามจับใจความจากที่เพื่อนคนนั้นได้ฟังบรรพตพรรณนามา พอจับความคิดของคนไทยในสหรัฐ(ที่ผ่านความคิดเห็นของบรรพต)ได้ว่า พวกเขาหวังจะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในประเทศไทย โดยเฉพาะในส่วนสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยที่สถาบันพระมหากษัตริย์อาจจะไม่ได้เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงเสียเอง แต่ต้องอาศัยคนไทยทั้งหลายนั้นด้วย

คนไทยผู้ไปเยี่ยมได้ถามคนไทยที่สหรัฐว่า ถ้าการเปลี่ยนแปลงในเรื่องเหล่านั้นเกิดขึ้นแล้ว พวกเขาคิดจะกลับเมืองไทยหรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ตอบว่า “คงไม่กลับ” ในขณะที่บรรพตตอบได้ชัดเจนมากกว่า

“ถ้าจะกลับก็ควรกลับไปด้วยความรัก หากยังไม่คิดรักประเทศไทยหรือรักกษัตริย์ของไทย ก็ยังไม่ควรจะต้องกลับไป”