เมื่อเวลา 14.10 น. วันที่ 7 ก.ย. 66 ที่รัฐสภา นางสุนี ไชยรส ประธานคณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า เพื่อคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน ยื่นหนังสือถึงพรรคก้าวไกลผ่านนายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล โดยมีข้อเรียกร้องของคณะฯ ดังนี้ 1.ให้เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กเล็กถ้วนหน้า รวมทั้งเด็กเล็กทุกคนบนพื้นแผ่นดินไทย ตั้งแต่แม่ตั้งครรภ์จนถึงอายุ 6 ปี คนละ 3,000 บาทต่อเดือน 2.ขยายสิทธิ์ลาคลอดเป็น 180 วัน เพิ่มระยะเวลาให้แม่ และพ่อ ได้เลี้ยงดูลูกอย่างใกล้ชิด และเชื่อมต่อไปศูนย์พัฒนาเด็กเล็กให้รับเด็กเล็กตั้งแต่อายุหกเดือน 3.ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กรับเด็กเล็กตั้งแต่ 6 เดือน รับช่วงต่อจากพ่อแม่ที่ลามาเลี้ยงดูลูกได้ 180 วัน ซึ่งมีความหลากหลายสอดคล้องกับวิถีชีวิตของพ่อแม่ หรือผู้ปกครองที่ทำงานในพื้นที่

4.ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กมีจำนวนมากพอ กระจายตัวใกล้บ้าน ใกล้ที่ทำงาน หลากหลายรูปแบบ และมีคุณภาพ เพื่อให้เด็กเล็กทุกคนเข้าถึง และได้รับการดูแลพัฒนาในด้านโภชนาการและการเรียนรู้อย่างสมวัย และ5.รัฐบาล และหน่วยงานที่จัดตั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ให้การสนับสนุนงบประมาณ และบุคลากร โดยเฉพาะศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่ยังไม่สามารถขึ้นทะเบียนให้สามารถดำเนินการได้ตามมาตรฐาน

ด้านนายชัยธวัช กล่าวว่า ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งมีโอกาสได้ร่วมจัดทำนโยบายเกี่ยวกับเด็กเล็กก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับข้อเสนอที่ยื่น พรรคก้าวไกลให้ความสำคัญในเรื่องนี้อย่างมาก เพราะเราเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์แล้ว ดังนั้น นอกจากประเด็นที่จะต้องดูแลผู้สูงอายุมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ยังมีส่วนสำคัญในยุทธศาสตร์ของชาติอย่างอื่น คือเราจะจัดสรรเรื่องทรัพยากรมนุษย์ ทรัพยากรบุคคลที่วัยทำงานลดลงเรื่อยๆ ได้อย่างไร จึงมีความจำเป็นที่รัฐบาลต้องออกแบบนโยบายที่ทำให้ภาระในการมีบุตรของทุกครอบครัวลดลง แนวคิดของพรรคก้าวไกลจึงสนับสนุนสวัสดิการถ้วนหน้าของเด็กเล็ก แม่ และมาตรการอื่นๆ ในการที่จะต้องช่วยกันดูแลถ้วนหน้า ซึ่งการจัดสรรทรัพยากรบุคคลต้องอยู่บนฐานที่คิดว่า ไม่ควรจะผลักภาระให้เป็นภาระของแต่ละครอบครัว แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของสังคม จึงควรผลักดันนโยบายเรื่องนี้อย่างจริงจังได้แล้ว

ฉะนั้น ประเด็นดังกล่าวจะเป็นประเด็นสำคัญที่เราจะอภิปรายซักถามตรวจสอบนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี(ครม.) ชุดใหม่ในสัปดาห์หน้าด้วย แม้เราจะเป็นฝ่ายค้าน แต่หากนโยบายไหนสำคัญ เราจะร่วมกันผลักดันกับประชาชน และรัฐบาลด้วย แม้เราจะไม่ได้เป็นฝ่ายบริหาร แต่ก็เป็นเรื่องที่ควรเกิดขึ้น