เมื่อเวลา 14.35 น.วันที่ 5 ก.ย. 66 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวภายหลังการถวายสัตย์ปฏิญาณ ถึงกรณีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงมีพระราชดำรัสแก่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่และได้วางกรอบการทำงานและแนวทางของกระทรวงมหาดไทยอย่างไรบ้าง ว่า ท่านพระราชทานพระราชดำรัสเพื่อเป็นศิริมงคลแก่ครม. ซึ่งต้องสำนึกและทำงานถวายชีวิตเพื่อประเทศชาติบ้านเมือง เมื่อถามว่ามองการทำงานของกระทรวงมหาดไทยซึ่งเป็นกระทรวงสำคัญไว้อย่างไรบ้าง นายอนุทิน กล่าวว่า บำบัดทุกข์ บำรุงสุข ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน 

เมื่อถามว่าจะมอบหมายให้รัฐมนตรีในกระทรวงที่ดูแลอะไรบ้าง และต้องมีการโชว์ผลงาน เหมือนกับที่พรรคเพื่อไทยวางระยะเวลาไว้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า แน่นอน รัฐมนตรีทุกคนต้องทำงานอย่างหนักในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายและอยูาในความรับผิดชอบของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งต้องมีการเตรียมการอย่างเต็มที่ และเราได้มีการเชิญผู้ที่มีความรู้ความสามารถทรงคุณวุฒิมาช่วยงาน หวังว่าจะสามารถขับเคลื่อนได้ทันทีที่แถลงนโยบายเสร็จแล้ว ทุกคนมีความพร้อม มีคุณสมบัติที่สามารถทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนได้

โดยในวันพรุ่งนี้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เรียกประชุมครม. นัดพิเศษ โดยรัฐมนตรีแต่ละกระทรวงจะมีการเตรียมความพร้อมเผื่อจะต้องตอบคำถามที่ถูกพาดพิงมา ซึ่งเราก็ต้องช่วยท่านนายกฯ ไม่ใช่ให้ท่านไปตอบทุกเรื่อง เรื่องที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงใคร กระทรวงนั้นก็จะต้องไปเตรียมข้อมูลมา ชี้แจงแก่ผู้ที่ตั้งข้อสังเกตและคำถามให้ได้มากที่สุด

เมื่อถามว่า มหาดไทยยุคใหม่จะมีการปฏิบัติงานในรูปแบบใด นายอนุทิน กล่าวว่า “ด่วนจี๋ๆ ทุกอย่างเป็นเรื่องด่วนจี๋”

เมื่อถามว่าจะมีบทลงโทษอย่างไร กับผู้ที่คอร์รัปชั่นในส่วนของพรรคภูมิใจไทย นายอนุทิน กล่าวว่า เข้าใจการทำงานนี้ ต้องเอาใจ สนับสนุน ให้กำลังใจ ให้โอกาสเขา อย่าพูดถึงเรื่องบทลงโทษ เราต้องได้รับความร่วมมือในการทำงาน เราต้องให้ใจเขา เขาจะได้ให้ใจเรา พร้อมพูดติดตลกว่า “ดีดข้อนิ้ว”

ทั้งนี้ ก่อนที่นายอนุทินจะขึ้นรถเพื่อเดินทางออกจากทำเนียบรัฐบาลไปประชุม ณ ที่ทำการพรรคภูมิใจไทยนั้น นายอนุทินได้ชี้ไปที่รถ และหันกลับมาบอกกับผู้สื่อข่าวว่า “นี่คันใหม่ จำไม่ได้” เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่าหมายความว่าอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า “รถคันเก่า แต่ของกระทรวงใหม่ กระทรวงมหาดไทย”