ส่งออกฟื้นตัวช้า รายจ่ายท่องเที่ยวลดลง นักท่องเที่ยวจีนหด "แบงก์ชาติ" จ่อหั่นจีดีพี-เงินเฟ้อปี 66 ลงในรอบประชุมกนง. ก.ย.นี้

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวในงานสัมมนาวิชาการ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประจำปี 2566 ว่า ภาพเศรษฐกิจไตรมาส 2ที่ออกมา ต่ำเพียง 1.8% ถือว่าต่ำกว่าที่ ธปท.ประเมินไว้ ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยภายนอกจากรายจ่ายนักท่องเที่ยวที่น้อยกว่าคาด แม้จำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาน้อยกว่าที่คาด และจีนถือเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ใช้จ่ายค่อนข้างสูงในช่วงที่ผ่านมา

ขณะเดียวกันยังมาจากภาคการส่งออกที่ฟื้นตัวช้าจากไซเคิ้ลของส่งออกโลกจากภาคอิเล็กทรอนิกส์ที่ชะลอตัว และฟื้นตัวช้ากว่าคาด อย่างไรก็ตามภาพรวมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังเป็นการฟื้นตัวต่อเนื่อง แม้จะอ่อนค่าที่คิด แต่ยังฟื้นตัวได้ โดยตัวที่ขับเคลื่อนหลักๆมาจากภาคการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ โดยเฉพาะปีนี้ที่คาดว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจะเป็นไปตามเป้าที่ 29 ล้านคน ถัดมาคือ การบริโภคในประเทศ ที่เติบโตได้ต่อเนื่อง แม้เศรษฐกิจไตรมาส 2 จะออกมาต่ำกว่าที่คาด เพียง 1.8% แต่หากดูการบริโภคเอกชนพบว่าไตรมาส 2 เติบโตสูงถึง 7.8% และหากดูครี่งปีแรกของการบริโภคเอกชนพบว่า เติบโตสูงที่สุดในรอบ 20ปี ดังนั้นแรงหนุนจากการบริโภคเอกชนมาค่อนข้างชัดเจน และคาดยังเป็นแรงหนุนต่อเนื่องในระยะข้างหน้า

โดยปัจจัยที่กระทบต่อการคาดการณ์ คือภาคส่งออกที่ยอมรับว่าในช่วงครี่งปีแรกฟื้นตัวช้า ดังนั้นต้องติดตามว่า ตัวเลขส่งออกจะกลับมาฟื้นตัวตามที่คาดได้หรือไม่ ส่งผลให้ ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ในเดือนก.ย.นี้ ธปท.เตรียมปรับประมาณการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อลดลงจากประมาณการณ์เดิม โดยคาดการณ์จีดีพีปี 2566 อยู่ที่ 3.6% และเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 2.5% เงินเฟ้อพื้นฐานที่ 2.0%

สำหรับทิศทางการดำเนินนโยบายการเงิน โจทย์เปลี่ยนไปจาก smooth take off ไปสู่การ Landing อย่างมีเสถียรภาพคือ การให้ดอกเบี้ยเหมาะสมกับภาพระยะยาว และสอดคล้องกับความสมดุลระยะยาว ซี่งมี 3 ด้านหลักคือ 1.เงินเฟ้อต้องเข้ากรอบอย่างยั่งยืนที่ 1-3% แม้มองว่าข้างหน้าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นจากวิกฤติแอลนีโญบ้าง 2.อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจอยู่ในระดับศักยภาพระยะยาว ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยตามศักยภาพเติบโตราว 3-4% ซึ่งอยากเห็นการเติบโตสู่ระดับนี้ 3.อย่าให้เกิดความไม่สมดุลในด้านการเงิน โดยที่ผ่านมายอมรับว่าจากดอกเบี้ยไทยที่ต่ำมานาน ทำให้เกิดความไม่สมดุลเกิดขึ้น และหนี้ครัวเรือนที่อยู่ระดับสูง 90.6%ต่อจีดีพี ส่วนหนึ่งมาจากผลตอบแทนการออมที่ต่ำ และคนกู้มาขึ้น ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยต้องเข้าสู่ระบบที่สอดคล้องสมดุลระยะยาว หรือ Neutral rate

ทั้งนี้อยากย้ำว่า เป็นการเข้าสู่ภาวะปกติ เข้าสู่สมดุล เทียบเคียงกับการถอนคันเร่ง เพราะเดิมมีการเหยียบเบรกคันเร่งไว้สุดในช่วงโควิด-19 ดอกเบี้ยต้องต่ำเพื่อพยุง แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ต้องถอนคันเร่ง แต่ไม่ใช่เหยียบเบรก ต่างกับต่างประเทศที่ต้องเหยียบเบรก เพราะเป็นการให้เข้าสู่ภาวะปกติ เข้าสู่สมดุล เทียบเคียงถอนคันเร่ง เพราะเดิมเราหยีบบคันเร่งไว้สุดๆ ช่วงคิวดอกเบี้ยต่ำเพื่อพยุง ตอนนี้ไม่ใช่ เป้กหมายคือถอนคันเร่ง แต่ไม่ใช่เหยียบเบรก ต่างกับต่างประเทศที่ต้องเหยีบเบรก และทำให้ดอกเบี้ยสูงกว่าระดับสมดุล แต่ของเราไม่ใช่ เราอยากเห็นดอกเบี้ยเข้าสู่ความสมดุลระยะยาว