"นายกฯเศรษฐา" นัดกินข้าวเที่ยงกับ "ว่าที่ ผบ.เหล่าทัพ" รับฟังความคิดเห็นในการทำงานร่วมกับรัฐบาล-กองทัพ พร้อมแจงเหตุเลือก "สุทิน" นั่ง "รมว.กลาโหม" สะพัด! "พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก" อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นผู้ช่วย รมต.กลาโหม "ชัชชาติ" เตรียมหารือรัฐบาลใหม่ หนุน กทม. เป็นศูนย์กลางบริษัทข้ามชาติ ขณะที่ "นิด้าโพล" เผยผลสำรวจ "นโยบายพรรคเพื่อไทย ทำได้หรือไม่?"
เมื่อวันที่ 3 ก.ย.66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วย นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เชิญว่าที่ ผู้บัญชาการเหล่าทัพคนใหม่ อาทิ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด (รอง ผบ.ทสส.) ในฐานะว่าที่ ผบ.ทสส. พร้อมด้วย พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ รอง ผบ.ทบ. ในฐานะว่าที่ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ (ผบ.กร.) ในฐานะว่าที่ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) และพล.อ.อ.พันธ์ภักดิ์ พัฒนกุล ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผช.ผบ.ทอ.) ว่าที่ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) ร่วมรับประทานอาหารกลางวัน ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การร่วมรับประทานอาหารกลางวันในครั้งนี้ เป็นการพูดคุยอย่างเป็นกันเอง เพื่อแนะนำตัวและทำความรู้จักว่าที่ ผบ.เหล่าทัพคนใหม่ รวมถึงจะเน้นการรับฟังความคิดเห็น และข้อเสนอแนะจากว่าที่ ผบ.เหล่าทัพคนใหม่ เพื่อให้เกิดการประสานความร่วมมือการขับเคลื่อนงานของรัฐบาล และกองทัพ โดยเฉพาะสอดคล้องกับสถานการณ์บ้านเมือง ก่อนนำมาบรรจุไว้ในนโยบาย ร่วมกับนโยบายของ 11 พรรคการเมือง รวมถึงชี้แจงเหตุผลที่เลือก นายสุทิน มาทำหน้าที่ รมว.กลาโหม
อีกทั้งในเรื่องการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ รัฐบาลก็พร้อมสนับสนุนจะไม่ตัดงบประมาณดังกล่าว หากมีความจำเป็น เพราะเข้าใจดีว่าอาวุธยุทโธปกรณ์ถือเป็นสิ่งสำคัญในการที่จะปกป้องประเทศโดยเฉพาะตามแนวชายแดนต่างๆที่จำเป็นต้องมีทัดเทียมกับประเทศเพื่อนบ้าน และหากมีการเจรจาในเรื่องนี้จะขอให้ทางกองทัพนำเสนอสินค้าภายในประเทศไทยที่มี เพื่อแลกเปลี่ยนหรือไปจำหน่ายกับประเทศนั้นนั้นในลักษณะการแลกเปลี่ยนหรือบาร์เตอร์ (barter) ระหว่างกัน ซึ่งจะทำให้สินค้าที่เรามีอยู่สามารถมีช่องทางเพิ่มในทางการตลาดกับต่างประเทศได้อีกทางหนึ่ง
มีรายงานว่า นายสุทิน ได้ทาบทาม พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ให้ทำหน้าที่ "ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงกลาโหม" ส่วนตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรี มีข่าวทาบทาม พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และอดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งเคยมีข่าวเป็นแคนดิเดต รมว.กลาโหม ในรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยด้วย แต่ช่วงหลังชื่อหลุดไป
นอกจากนั้น ยังอาจมีการตั้ง พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และอดีตแม่ทัพภาคที่ 4 เป็นที่ปรึกษา พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก
อย่างไรก็ดี มีรายงานด้วยว่า นายสุทิน ได้มอบหมายให้ พล.อ.นิพัทธ์ ร่างนโยบายในส่วนของกระทรวงกลาโหม ที่เตรียมแถลงของที่ประชุมรัฐสภา และเป็นแนวทางการทำงานในระยะ 4 ปีข้างหน้า ทั้งนโยบายระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ซึ่ง พล.อ.นิพัทธ์ ได้เตรียมการให้เกือบ 100% แล้ว
วันเดียวกัน นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเกี่ยวกับแผนการเข้าพบรัฐบาลชุดใหม่ เพื่อหารือแนวทางการทำงานร่วมกัน ว่า เมื่อมีโอกาสจะเข้าไปประสานรัฐบาลชุดใหม่ เพื่อขอปรึกษาหารือการทำงานร่วมกัน ซึ่งเข้าใจว่ารัฐบาลชุดใหม่คงภารกิจมาก จึงได้เตรียมลิสต์ไว้แล้วว่าจะหารือในประเด็นใดบ้าง และคงมีหลายประเด็นที่เป็นเรื่องสำคัญ ทั้งเรื่องการจราจร ปัญหารถติดซึ่งมีหลายหน่วยงานเกี่ยวข้อง เรื่องของรถไฟฟ้าบีทีเอส ค่าโดยสาร และเรื่องภาระหนี้
"หนึ่งนโยบายสำคัญที่กทม.จะต้องนำเข้าไปหารือ และคงสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล คือการผลักดันให้กทม.เป็นศูนย์กลางของบริษัทข้ามชาติ เพราะเศรษฐกิจคือหัวใจของเมือง เพราะเศรษฐกิจคือการสร้างเมือง สร้างรายได้ ในขณะที่เมืองคือตลาดแรงงาน การที่คนมาอยู่ในเมืองเพราะมีงาน และจะมีงานได้ต้องดึงบริษัททั่วโลกให้มาที่กทม. เพื่อให้เกิดการจ้างงาน หากมีบริษัทที่มีคุณภาพจากทั่วโลกมาอยู่ในไทยจะเป็นการสร้างงาน ครอบคลุมไปถึงผู้ที่มีห้องให้เช่า คนขับรถแท็กซี่ ร้านอาหาร เกษตรกร ผลที่ได้จะเป็นห่วงโซ่การบริโภคที่จะสามารถลงไปถึงรากหญ้าได้"
การลงทุนในสมัยนี้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่การลงทุนในภาคอุตสาหกรรมแต่อย่างใด แต่เป็นการลงทุนในภาคบริการหรือการ sevice การเงิน start up และธุรกิจInnovation ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในเมือง กรุงเทพมหานครจึงต้อง ร่วมกับรัฐบาล หรือร่วมกับ BOI (Board of Investment หรือ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) เพื่อดึงดูดนักลงทุน ที่ผ่านมากทม.มีการหารือกับหอการค้าต่างประเทศมาโดยตลอด ตลอดจนหารือกับนักลงทุน นักธุรกิจชาวต่างประเทศที่อยู่ในประเทศไทย โดยได้สอบถามปัญหาและความต้องการ เพื่อให้เห็นว่ากทม.มีความจริงใจในการดูแลนักลงทุน
เรามีโครงการจะทำเป็น One Stop Service เพื่ออำนวยความสะดวกนักลงทุน และกองถ่ายภาพยนตร์ต่างประเทศ ซึ่งเรื่องนี้ต้องขอโอกาสเพื่อพูดคุยความเป็นไปได้กับรัฐบาล เพื่อดึงรายได้เข้ามาในกรุงเทพฯให้ได้ กรุงเทพฯในปัจจุบันมีความน่าอยู่มาก มีปัจจัยหลายอย่างมีความเหมาะสม ทั้งสถานที่ตั้งออฟฟิศที่ราคาไม่แพง มีโรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาลที่สามารถรองรับบุคลากรของบริษัทข้ามชาติได้ ถือว่าโอกาสนี้เป็นนาทีทองของเรา ผู้ว่าฯชัชชาติ ย้ำเพื่อสร้างความมั่นใจให้นักลงทุน
ขณะที่ ศูนย์สำรวจความคิดเห็น "นิด้าโพล" สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง "นโยบายพรรคเพื่อไทย ทำได้หรือไม่?" ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม ถึง วันที่ 1 กันยายน 2566 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับนโยบายของพรรคเพื่อไทย การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ "นิด้าโพล" สุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบง่าย (Simple Random Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0
จากการสำรวจเมื่อถามประชาชนเกี่ยวกับนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่ประชาชนอยากได้ พบว่า 1. พักหนี้เกษตรกร 3 ปี ทั้งต้นทั้งดอกทันที กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 87.25% ระบุว่า อยากได้ รองลงมา 7.33% ระบุว่า ไม่อยากได้ 2. ทุกครอบครัวมีรายได้ไม่น้อยกว่า 20,000 บาทต่อเดือน กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 86.18% ระบุว่า อยากได้ รองลงมา 7.94% ระบุว่า ไม่อยากได้ 3. กระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท สำหรับผู้มีอายุ 16 ปีขึ้นไป กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 83.36% ระบุว่า อยากได้ รองลงมา 11.91% ระบุว่า ไม่อยากได้ 4. เงินเดือนผู้จบปริญญาตรี 25,000 บาทต่อเดือน ภายในปี 2570 กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 80.08% ระบุว่า อยากได้ รองลงมา 12.67% ระบุว่า ไม่อยากได้ 5. จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 78.70% ระบุว่า อยากได้ รองลงมา 10.61% ระบุว่า ไม่อยากได้
6. กทม. ทั้ง 50 เขต มีโรงพยาบาลประจำเขต กล่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 78.17% ระบุว่า อยากได้ รองลงมา 10.76% ระบุว่า ไม่อยากได้ 7. ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน ภายในปี 2570 กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 78.09% ระบุว่า อยากได้ รองลงมา 13.51% ระบุว่า ไม่อยากได้ 8. จัดการเลือกตั้งผู้ว่าราชการในจังหวัดนำร่อง กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 73.51% ระบุว่า อยากได้ รองลงมา 16.87% ระบุว่า ไม่อยากได้ 9. รถไฟฟ้า กทม. 20 บาทตลอดสาย กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 72.90% ระบุว่า อยากได้ รองลงมา 13.97% ระบุว่า เฉย ๆ ส่วนอีก 11.37% ระบุว่า ไม่อยากได้ 10. แก้ไขกฎหมายเพื่อยกเลิกการเกณฑ์ทหาร กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 58.32% ระบุว่า อยากได้ รองลงมา 34.66% ระบุว่า ไม่อยากได้
เมื่อถามประชาชนเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่จะสามารถทำได้สำเร็จ พบว่า 1. พักหนี้เกษตรกร 3 ปี ทั้งต้นทั้งดอกทันที กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 68.32% เชื่อว่าทำได้ รองลงมา 18.63% ไม่เชื่อว่าทำได้ 2. กระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท สำหรับผู้มีอายุ 16 ปีขึ้นไป กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 53.82% เชื่อว่าทำได้ รองลงมา 29.01% ไม่เชื่อว่าทำได้ 3. จัดการเลือกตั้งผู้ว่าราชการในจังหวัดนำร่อง กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 52.98% เชื่อว่าทำได้ รองลงมา 27.86% ไม่เชื่อว่าทำได้ 4. กทม. ทั้ง 50 เขต มีโรงพยาบาลประจำเขต กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 50.15% เชื่อว่าทำได้ รองลงมา 28.63% ไม่เชื่อว่าทำได้ 5. รถไฟฟ้า กทม. 20 บาทตลอดสาย กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 48.09% เชื่อว่าทำได้ รองลงมา 30.15% ไม่เชื่อว่าทำได้
6. ทุกครอบครัวมีรายได้ไม่น้อยกว่า 20,000 บาทต่อเดือน กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 40.31% เชื่อว่าทำได้ และไม่เชื่อว่าทำได้ ในสัดส่วนที่เท่ากัน 7. แก้ไขกฎหมายเพื่อยกเลิกการเกณฑ์ทหาร กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 43.74% ไม่เชื่อว่าทำได้ รองลงมา 39.69 เชื่อว่าทำได้ 8. จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 39.01% เชื่อว่าทำได้ รองลงมา 35.72% ไม่เชื่อว่าทำได้ 9. ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน ภายในปี 2570 กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 41.98% ไม่เชื่อว่าทำได้ รองลงมา 37.18% เชื่อว่าทำได้ 10. เงินเดือนผู้จบปริญญาตรี 25,000 บาทต่อเดือน ภายในปี 2570 กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 41.14% ไม่เชื่อว่าทำได้ รองลงมา 36.64% เชื่อว่าทำได้