หมายเหตุ : ฉากทัศน์การเมืองไทย จะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ และอย่างไร เมื่อสถานการณ์เดินมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญทั้งการกลับมาประเทศไทย ในรอบ 17ปีของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 23 เพื่อรับโทษในหลายคดี และในวันเดียวกัน ที่ประชุมรัฐสภายังโหวตให้ความเห็นชอบ “เศรษฐา ทวีสิน” แคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย ด้วยเสียงท่วมท้นได้เป็น “นายกฯคนที่30” อีกทั้งยังเกิดภาพการส่งไม้ต่อระหว่าง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกฯคนที่ 29 ให้กับเศรษฐา ที่ทำเนียบฯ ท่ามกลางเสียงชื่นชมของผู้คน
“สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์” มีบทสัมภาษณ์ “รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก” อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย ผ่านรายการสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ออกอากาศช่อง Siamrathonline เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา
-สถานการณ์การเมืองจะเป็นไปในทิศทางไหน เมื่อเราได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่เป็นคุณเศรษฐา ทวีสิน และอดีตนายกรัฐมนตรีคุณทักษิณชินวัตร กลับประเทศไทยมาแล้ว รวมทั้งได้เห็นภาพการส่งต่ออำนาจหน้าที่กันระหว่างพล.อ.ประยุทธ์ กับคุณเศรษฐา การเมืองไทยจากนี้จะไปในทิศทางไหน
ต้องเรียนอย่างนี้ว่าสิ่งที่มันเป็นปรากฎการณ์หลังสุด คงต้องมาพิจารณาก่อน เพราะในเรื่องของการส่งต่อไม้ จากรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ มาที่รัฐบาลคุณเศรษฐา ต้องถือว่าบรรดาสิ่งที่ ยังค้างอยู่ ที่ได้ดำเนินการมา การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ก็คงจะต้องเป็นการดำเนินการตามสิ่งที่เคยเดินมาแล้ว และยังไม่แล้วเสร็จ แต่จะเป็นการดำเนินการโดย คุณเศรษฐา เพราะมีหลายโครงการ มีหลายแผนงานมีการเดินหน้าในการบริหารราชการแผ่นดินมาก อยู่ดีๆจบไปเลยก็ยาก
มีโครงการต่างๆที่ดำเนินมาแล้วอาจจะต้องดำเนินต่อไปในหลายๆหน่วยงานในหลายๆเรื่องคุณเศรษฐา ต้องรับไม้ต่อ แต่ในส่วนของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ก็คงจะถือว่ายุติแล้ว อาจจะเหลือเพียงแค่ 2 เรื่องคือ 1. เรื่องแต่งตั้งโยกย้ายในส่วนของกองทัพ ซึ่งเข้าใจว่ากองทัพบก เรือ อากาศ และทางกองบัญชาการกองทัพไทยค่อนข้างนิ่ง ไม่มีอะไรที่จะกระเพื่อมมากนัก ทางรัฐบาลที่เข้ามาใหม่ก็คงไม่ได้มีปัญหาอะไรมากนัก
เรื่องที่ 2 คือการแต่งตั้งโยกย้ายในส่วนของตำรวจ ถึงแม้ในส่วนของตำแหน่งผบ.ตร.คนใหม่ จะบอกว่ามีอะไรที่จะพลิกผันหรือไม่ ก็อาจจะไม่มี ถามว่ายังมีลงตัวในระดับที่สูงมากไหม ก็ยังมีอยู่ แต่เพียงแต่ว่าไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง
แต่ถ้าหากเป็นไปตามโผ ที่ยังเป็นอยู่เดิม ในส่วนนี้ก็น่าจะเป็นภารกิจสุดท้ายที่รัฐบาลรักษาการ จะได้ทำ นอกนั้นคงไม่มีอะไร ซึ่งได้ส่งไม้ไปให้คุณเศรษฐา ในส่วนนี้ก็ต้องถือว่าคนทั้งหลายที่เคยบอกว่ารัฐบาลลุงๆมีปัญหา แต่ ณ ขณะนี้ก็ต้องถือว่ารัฐบาลลุงหรือรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ก็คงจะรักษาสิ่งที่เป็นสภาวการณ์ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนรัฐบาล เรื่องของงบประมาณก็คงไม่ใช้อะไร เรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายก็คงไม่มี การจะนำเอางบกลางมาใช้ในเรื่องต่างๆก็คงไม่ทำกัน เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็ถือว่าเปลี่ยนผ่านแล้ว การส่งต่อไปให้คุณเศรษฐา อย่างที่เรียนว่าคราวนี้ก็อาจจะถือได้ว่ายุติการที่พล.อ.ประยุทธ์ บริหารราชการแผ่นดินในฐานะนายกรัฐมนตรี
แต่พรรคการเมืองที่พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรียังคงอยู่ก็คือพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งคุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค ซึ่งถือว่าเป็นผู้สนับสนุนหลักของพล.อ.ประยุทธ์ ก็จะได้เข้าร่วมเป็นคณะรัฐมนตรีด้วย บรรดางานต่างๆที่เคยทำมาของรัฐบาลที่พล.อ.ประยุทธ์เป็นรัฐบาล เป็นนายกรัฐมนตรี ถ้าจะถามว่าขว้างไปพ้นก็อาจจะไม่ใช่ เพราะพรรคที่เป็นพรรคที่สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ยังอยู่
และพรรคที่สอง คือพรรคพลังประชารัฐ ก็เข้าร่วมรัฐบาลด้วย ถึงแม้ว่าการที่พรรคพลังประชารัฐร่วมรัฐบาลด้วย จะเป็นไปตามครรลองที่หัวหน้าพรรคคนใหม่ คือพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แต่พล.อ.ประวิตรก็ร่วมรัฐบาลกับพล.อ.ประยุทธ์มา ถึงจะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องแล้ว แต่อย่าลืมว่าพรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคเดิมที่เคยเสนอชื่อพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี
เพราะฉะนั้นในสองพรรคนี้ถ้าเกิดมีอะไรที่ยังคั่งค้างอยู่มาถึงรัฐบาลคุณเศรษฐา ที่คุณเศรษฐาต้องมีการบริหารราชการแผ่นดิน ถ้ามันปกปิดหรือค้างมาจากการดำเนินการของรัฐบาลที่มีพรรคพลังประชารัฐเป็นแกนซึ่งวันนี้พรรคพลังประชารัฐออกมาเป็นสอง พรรค ก็คือพรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ จึงยังถามหาความรับผิดชอบได้อยู่
โดยเฉพาะว่าถ้าหากมีอะไรที่เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ เชื่อมโยงกับการปฏิรูปที่ทำมาแต่เดิมและตอนนี้ก็ยังต้องทำกันต่อในบางส่วนก็ต้องระมัดระวัง คิดว่าส่งไม้ต่อให้คุณเศรษฐาแล้ว ในส่วนของคุณเศรษฐา ยังมีประเด็นที่จะต้องคิดอยู่พอสมควร คือในภาวการณ์ทั้งหมดโดยรวม ตอนเริ่มมาสู่การเป็นรัฐบาลพรรคเพื่อไทย มีการไปจับมือกับพรรคก้าวไกลมาก่อน ในวันที่มีการลงมติคุณเศรษฐา คุณหมอชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย บอกว่าถ้าเกิดไม่มีสว.เราก็ไม่จับมือกับก้าวไกลหรอก ก็คืออยู่ดีๆเทเพื่อนไม่พอ ตลบหลัง ว่าเพื่อนอีก
หลายๆคนที่มองภาพเหล่านี้ ก็อาจจะมาทวงถามสัญญา จากบรรดาผู้คนที่เป็นผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย อาจจะตามมา อาจจะมีการทวงถามมาจากคนที่เป็นผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลด้วย เพราะเขาอาจจะบอกว่าเดิมทีที่ตอนบอกว่าจะจับกับก้าวไกลก็สัญญาไว้ว่าจะให้กับบรรดาประชาชนทั้งหลายในเรื่องนี้เรื่องนั้น เรื่องที่จับกันมาทำเป็น MOU ยังจะดำเนินการอยู่ ดังนั้นจะทำอย่างไร สิ่งต่างๆเหล่านี้น่าจะยังเป็นภาระของทางพรรคเพื่อไทยอยู่
แล้วคำตอบที่พรรคเพื่อไทยหรือคุณเศรษฐา เองแม้กระทั่งคุณแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยหรือ คุณหมอชลน่าน ก็ยังต้องตอบอยู่ แม้กระทั่งผู้ที่เป็นผู้สนับสนุนตัวเองที่บอกว่าจะไม่ร่วมกับลุง ซึ่งก็ขว้างไม่พ้นอีก เพราะว่าลุงหนึ่งคือพล.อ.ประยุทธ์ ออกไป แต่ลุงคนที่สองคือพล.อ.ประวิตรยังอยู่ ก็แปลว่าตัวลุงเองยังอยู่ อย่างนี้จะแปลว่าอะไร จะตอบคำถามกับบรรดาผู้สนับสนุนในลักษณะไหน
ยังจะมีเรื่องของนโยบายจำนวนมากที่เขาจะมาถามกัน มีทั้งนโยบายที่เกี่ยวข้องกับทางเศรษฐกิจ ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะผลักดันไปได้หรือเปล่า ที่คนจับตามองที่สุดคือนโยบาย 10,000 บาทดิจิทัล เพราะถ้าเกิดสมมติว่า ให้กับคน 50 ล้านคน เงิน 10,000 บาทดิจิทัลจะเป็นเงิน 500,000 ล้าน จะเอาเงิน 500,000 ล้านนี้มาจากไหน หลายคนก็พูดกันว่า หากรัฐบาลสิ้นหนทาง ไม่รู้จะไปเอาเงินที่ไหน จะไปเอาเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งมีเงินสะสมอยู่พอสมควร แต่เงินนั้นเป็นเงินบ้านเงินเมืองสะสมต่อเนื่องกันมาไม่รู้จักกี่รุ่นกี่ชั่วคน พระมหากษัตริย์ไม่รู้กี่พระองค์ และเป็นเงินที่ชาวบ้าน สมณะชีพราหมณ์ ร่วมกันทำให้ได้เงินนั้นมา ดังนั้นไม่ได้อยู่ดีๆจะเอาเงินนั้นไป นอกจากจะทำให้ขาดหรือเสียวินัยการเงินการคลังงบประมาณแล้ว ยังจะเป็นบาปเป็นกรรมด้วย
เพราะฉะนั้นต้องไปคิดดูว่าอยู่ดีๆจะไปแจกเงินเขา เอาตามนโยบายของตัวเองจะได้หรือไม่และนโยบายของพรรคอื่นๆ ที่จะมาหลอมรวมกัน ถามว่าจะผลักดันได้ไหม ยกตัวอย่างพรรคเพื่อไทยบอกว่า จะเอากัญชากลับไปเป็นยาเสพติด คนที่เป็นผู้สนับสนุนของพรรคภูมิใจไทย หรือตัวพรรคภูมิใจไทยจะยอมไหม และหากยอมบรรดาสิ่งที่เขาทำกันไปแล้ว เช่น ถ้าเกิดสมมติว่า ร้านต่างๆที่เปิดเป็นดอกเห็ด ขึ้นกันทุกหย่อมหญ้าอย่างนี้ทั้งหมดเหล่านี้จะถูกยกเลิกไหม
การใช้กัญชาทางการแพทย์เป็นเรื่องวิจัยหรือเป็นเรื่องการใช้ในทางอื่นใด ที่เป็นทางวิทยาศาสตร์อาจจะไม่เป็นไร แต่การใช้ในทางสันทนาการ อันนี้จะได้มากน้อยแค่ไหนมันยังมีเรื่องนั้นอยู่ ประการสุดท้ายในเรื่องของนโยบายตรงนี้ต้องระวังมาก คือการที่พรรคเพื่อไทยขึ้นมาถึงปั๊บ พรรคเพื่อไทยจะแก้รัฐธรรมนูญเลย จะแก้ไขอย่างไร ยังไม่รู้จะแก้ไขเพิ่มเติมแบบสภาทำหรือจะไปเอาแบบยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เลย หากไปยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ บอกว่าประชุมคณะรัฐมนตรีคราวแรกจะยกเลิกเลย ไปใช้มติเลยว่าจะให้มีส.ส.ร.หรือไม่
อย่าลืมว่าหนึ่ง ในเรื่องที่เป็นข้อขัดแย้งของผู้คนทั้งหลายในเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหรือว่าการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็คือเรื่องของหมวด 1 หมวด 2 โดยในหมวด 1 คือบททั่วไปที่ว่าด้วยรูปแบบของรัฐ รูปแบบการปกครองหมวด 2 ว่าด้วยเรื่องพระมหากษัตริย์ ไม่ถึงกับสะเด็ดน้ำทีเดียว ว่าพรรคเพื่อไทยจะไม่เอา จะไม่เกี่ยวข้อง เพราะตอนหาเสียงในพรรคเพื่อไทยพูดในเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมหรือเรื่องของการไปปรับเปลี่ยนมาตรา 112 อยู่ เพิ่งจะมาตอนที่จะแยกกันกับพรรคก้าวไกลที่บอกว่า เราไม่เอามาตรา 112
เมื่อมาจัดตั้งรัฐบาลกับอีก 10 พรรค จึงค่อยบอกแล้วไม่เอา ถามว่าถ้าเกิด มีคนเขาทวงถามว่าตกลงจะเอาอย่างไร อย่าลืมว่าเมื่อมีการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็จะมีคนกระโดดเข้ามาเกี่ยวข้องได้ด้วย โดยเฉพาะพรรคก้าวไกล อาจจะเข้ามาเกี่ยวข้องได้ คณะก้าวหน้า ด้วย บรรดาผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล ซึ่งตรงนี้พรรคเพื่อไทยจะคุมตรงนี้ได้หรือไม่
ประการที่ 3 การที่คุณทักษิณ กลับประเทศไทยเข้ามา ท้ายที่สุดคุณเศรษฐาได้มาเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยตัวเขาเอง หรือได้มาเป็นเพราะว่าคุณทักษิณ สนับสนุนอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันที่ลงมติให้ได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีแล้วคุณทักษิณ มาตอนเช้า คุณเศรษฐาได้รับการลงมติอย่างถือได้ว่าท่วมท้นในตอนบ่าย อาจจะเป็นเพราะว่า มันมีสิ่งที่เรียกกันว่า “ดีล” คือว่ามีการตกลงกันมาก่อนแล้ว
นั่นแปลว่าคุณทักษิณอาจจะคุยมาแล้ว ทีนี้คุณทักษิณคุยอย่างไร ทำให้บรรดาคนที่ อยู่ฝั่งพล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เอาเสียงสว.มาให้คุณเศรษฐา 152 เสียง ส่วนสว.ทางฝั่งของพล.อ.ประวิตรไม่ให้ ตัวพล.อ.ประวิตรไม่มา อาจจะแปลว่ายังไม่อะไรบาดหมางคลางแคลงกันอยู่ไหม ระหว่างทางคุณทักษิณ กับทางฝั่งพล.อ.ประวิตร เพราะถ้าเกิดมี พล.อ.ประวิตร จะออกฤทธิ์ออกเดชอะไรได้บ้างหรือเปล่า
ดังนั้นเมื่อคุณเศรษฐาได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เพราะคุณทักษิณ ไปตกลงกันมากับบรรดาพรรคอื่นๆกับส.ว.ด้วย คุณเศรษฐาจะบอกว่าฉันไม่สน นั่นคือทักษิณไม่เกี่ยวกับฉันได้ไหม แล้วถ้าเกิดคุณเศรษฐาไม่ได้อยู่พรรคเพื่อไทย ถ้าคุณเศรษฐาไม่ได้ สิ่งที่มันเป็นการสั่งสมกันมาเก่าของคุณทักษิณคุณเศรษฐา จะมาเป็นนายกฯได้ง่ายๆแบบนี้ไหม
บรรดาคนทั้งหลายเขามองว่าคุณเศรษฐาเป็นนายกฯเงาหรือไม่ หรือ คุณทักษิณเป็นนายกฯเงา ไม่รู้ว่าใครเป็นเงาของใคร แต่ถ้าหากว่าคุณเศรษฐาไม่ได้มาด้วยตัวเอง คราวนี้การออกฤทธิ์ของคุณทักษิณมันจะมีผลกระทบกับคุณเศรษฐา การออกฤทธิ์ออกเดชในแง่ของการจัดตั้งรัฐบาล คนก็ว่ากันแล้ว ว่าการจัดตั้งรัฐบาลมาจากโรงพยาบาล รับทราบว่า มีการตั้งรัฐบาลมาจากโรงพยาบาล แปลว่าคุณเศรษฐาเป็นคนจัดตั้งรัฐบาลหรือคุณทักษิณ อันนี้ต้องระวัง
เพราะพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ห้ามไม่ให้คนนอกเข้ามาชี้นำ มาครอบงำ มาควบคุม ดังนั้นพรรคอาจจะถูกยุบพรรคได้ และหากสมมติว่าพรรคถูกยุบจริง ในส่วนของสส.สามารถโยกย้ายพรรคไปได้ ไม่ได้เป็นไร มันมีบทรัฐธรรมนูญบัญญัติรองรับไว้ค่อนข้างจะชัดเจน แต่เรื่องของผู้ที่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี จะกลายเป็นผู้ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคอะไร แล้วคุณเศรษฐาก็คงจะไม่ได้เป็นผู้บริหารพรรคด้วย เพราะฉะนั้นก็จะไม่โดนหางเลขในการตัดสิทธิ์ทางการเมืองด้วย
นอกจากนี้ในกรณีของทักษิณ ถ้าไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับในตัวของพรรคมากเกินไปถือว่าอะไรที่ไปตกลงกันกับใครมา ดีลกับอะไร ก็สามารถทำให้พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลได้ ที่เหลือจะปล่อยให้คุณเศรษฐา ทำไปอาจจะประคับประคองจะช่วยเหลือจะให้คำปรึกษาได้ ผมคิดว่าไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ถ้าหากว่าคุณทักษิณออกฤทธิ์มากเกินไป ผมว่ามันจะเป็นปัญหา ไม่ใช่แต่เพียงแค่สำหรับคุณเศรษฐา แต่จะเป็นสำหรับพรรคเพื่อไทย
แล้วสิ่งที่จะเป็นปัญหาที่สุดซึ่งคือการที่คุณทักษิณจะขอพระราชทานอภัยโทษอันนี้ต้องระมัดระวังมาก เพราะการขอพระราชทานอภัยโทษจริงๆแล้วมันเป็นรัฐประศาสนโยบายส่วนหนึ่งของประเทศไทย และก็เป็นรัฐประศาสนโยบายทั่วโลกด้วย ไม่ว่าสำหรับประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือว่ามีประมุขในลักษณะอื่น เช่นเป็นประธานาธิบดี เขาถือกันว่าพวกเรื่องค้ามนุษย์ ค้ายาเสพติด เรื่องทุจริตจะขออภัยโทษไม่ได้
ดังนั้นเรื่องนี้คุณทักษิณหากจะขอพระราชทานอภัยโทษ คนขอ ก็ต้องระมัดระวัง เพราะว่ามันจะเป็นการไประคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทได้ ก็ต้องคิดอย่างนี้ว่า ถ้าส่งพิจารณา แล้วทรงมีพระราชวินิจฉัยโปรดเกล้าฯ ให้ คนจำนวนหนึ่งก็จะต้องว่า แต่ถ้าไม่ส่งพิจารณา ไม่พระราชทานให้ ก็จะมีคนอีกจำนวนหนึ่งว่า
เพราะฉะนั้นคนขอต้องคิดให้เยอะ อาจจะไม่ขอพระราชทานอภัยโทษ แต่อาจจะใช้กฎของราชการ ซึ่งตอนนี้กฎของราชการต้องถือว่าปูทางให้คุณทักษิณมากมายมหาศาล ในเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย อาจจะมีกฎราชทัณฑ์อื่น เช่น การขังไว้ที่บ้านได้ไหม หรือใส่กำไลได้ไหม สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ก็ต้องให้กับนักโทษรายอื่นด้วยที่จะขอได้ และที่อาจจะมีข้อแม้เช่นคุณทักษิณไม่หนีไปไหนหรอก แต่นักโทษรายอื่นไม่รู้จะหนีหรือเปล่า
หรือมีการพูดว่าคุณทักษิณคงไม่ไปกระทำผิดอะไรเพิ่มเติมจริงหรือไม่ เพราะต้องไปดูว่าสิ่งที่คุณทักษิณกระทำผิดมาตอนที่โดนคดีเหล่านี้คืออะไร มันเป็นโทษทุจริตตั้งหลายคดี ถึงได้บอกว่าถ้าคุณทักษิณยังคงเข้ามาเกี่ยวกับการบริหารแผ่นดินของคุณเศรษฐา หรือว่ายังเข้ามาเกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทยในลักษณะที่เข้ามาล้วงลึก อันนี้อาจจะเป็นปัญหาได้แต่ถ้าแค่ให้คำปรึกษาก็อาจจะไม่เป็นอะไร
แต่เรื่องที่สำคัญคือเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษ ถ้าหากคุณทักษิณทำอย่างถูกต้องเหมาะสม ใช้กฎใช้ระเบียบของราชทัณฑ์แทนที่จะไปทำในสิ่งที่อาจจะระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท ก็จะเป็นผลดีอย่างที่เรียน ทั้งคุณทักษิณเอง สำหรับคุณเศรษฐา สำหรับพรรคเพื่อไทยและสำหรับบ้านเมืองไทยโดยรวมด้วย