วันที่ 1 ก.ย.66 นายวิรุจ วิชัยบุญ ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร แจ้งเหตุผลในการเปลี่ยนคำขวัญจากเดิม "บั้งไฟโก้ แตงโมหวาน หมอนขวานผ้าขิด แหล่งผลิตข้าวหอมมะลิ" ซึ่งคำขวัญของแต่ละจังหวัดจะสื่อให้รู้ว่าจังหวัดนั้นมีอะไร ที่เป็นอัตลักษณ์ สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ งานประเพณี หรือสินค้าที่มีชื่อเสียง
ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร มองว่า คำขวัญเก่า มีเพียงประเพณีบุญบั้งไฟ มีผลไม้แตงโม หมอนขวานผ้าขิด ที่เป็นสินค้าที่นิยม และข้าวหอมมะลิ ซึ่งยังขาดสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญคือ วิมานพญาแถน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จังหวัดยโสธรมีได้แก่ หลวงพ่อพระสุกที่วัดศรีธรรมมาราม พระธาตุพระอานนท์ที่วัดมหาธาตุ ประเพณีมาลัยข้าวตอกที่อำเภอมหาชนะชัย และพืชผักผลไม้หลากหลายชนิดที่เป็นเกษตรอินทรีย์ ตามที่จังหวัดยโสธรได้ชื่อว่า เมืองเกษตรอินทรีย์ ซึ่งรวมทั้งแตงโมอินทรีย์ ข้าวหอมมะลิอินทรีย์ อ้อยอินทรีย์ โดยได้มอบให้คณะอาจารย์วิชาภาษาไทยของโรงเรียนยโสธรพิทยาคมที่เคยประพันธ์คำอาเศียรวาท เนื่องในวันสำคัญของประชาชนคนไทย เป็นผู้ประพันธ์คำขวัญใหม่ เพื่อให้ครอบคลุมสถานที่ท่องเที่ยว ประเพณีสำคัญ สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง และสินค้าโอท็อป สินค้าทางการเกษตร จึงได้เป็นคำขวัญว่า "หลวงพ่อพระสุกคู่บ้าน พระธาตุพระอานนท์คู่เมือง ลือเลื่องวิมานพญาแถน ดินแดนประเพณีบุญบั้งไฟ ร้อยมาลัยข้าวตอกงาม หมอนขวานผ้าขิด แหล่งผลิตเกษตรอินทรีย์"
ทั้งนี้ เจตนาของผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร เพื่อให้ประชาชนในจังหวัดอื่นๆหรือชาวต่างประเทศได้รับรู้ว่าจังหวัดยโสธรมีของดีอะไรบ้าง เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวให้ประชาชนชาวจังหวัดยโสธรมีรายได้เพิ่มขึ้น มีเงินหมุนเวียนในจังหวัดยโสธรทั้งโรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร การจับจ่ายใช้สอยการซื้อสินค้าโอท๊อป สินค้าเกษตรอินทรีย์เพื่อเพิ่มรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับจังหวัดยโสธรเท่านั้น
แต่ในเมื่อชาวยโสธรส่วนใหญ่ของจังหวัดตามสื่อสังคมต่างๆไม่เห็นด้วย ในสิ่งที่ผู้ว่าราชการจังหวัดฯ จะเปลี่ยนแปลงคำขวัญ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจให้กับจังหวัดยโสธร ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร จึงได้สั่งการให้ยกเลิกคำขวัญใหม่ และให้คงไว้ซึ่งคำขวัญเดิมตามที่ชาวจังหวัดยโสธรส่วนใหญ่ต้องการต่อไป
นอกจากนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธรยังได้ฝากขอโทษชาวยโสธรทุกคนด้วย หากท่านทำอะไรให้ชาวยโสธรไม่สบายใจ แต่ไม่มีเจตนาอื่นใด นอกจาก เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว และกระตุ้นเศรษฐกิจของจังหวัดยโสธรเท่านั้น