นายคณิสสร์ ศรีวชิระประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เน็กซ์ พอทย์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินงานว่า ในส่วนของการผลิตรถเมล์พลังงานไฟฟ้า (EV) ตามออเดอร์ จำนวน 3,100 คัน ขณะนี้ได้ส่งมอบไปแล้วทั้งสิ้น 1,905 คัน ส่วนอีก 1,195 คันผลิตเสร็จเรียบร้อยแล้วอยู่ระหว่างทยอยส่งมอบ คาดว่าจะส่งมอบได้ภายในไตรมาส 3-4/2566 ทั้งนี้ในไตรมาส 3/2566 NEX ได้เริ่มเปลี่ยนไลน์การผลิตจากรถบัสโดยสารมาเป็นรถขนส่งประเภทต่างๆ โดยคาดว่าในส่วนของรถบรรทุกไฟฟ้าน่าจะส่งมอบใน Q3 ได้ประมาณ 200-300 คัน
อย่างไรก็ตามโรงงานผลิตและประกอบยานยนต์ไฟฟ้า ที่ระบุกำลังการผลิตสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 9,000 คันต่อปี เป็นตัวเลขการผลิตรถโดยสารซึ่งผลิตยากที่สุดในบรรดารถเชิงพาณิชย์ แต่ถ้าเป็นกรณีของรถบรรทุกกำลังการผลิตจะมากขึ้นเป็น 3 เท่า คือประมาณ 20,000-30,000 คันต่อปี
มีคำถามที่ถูกถามบ่อยที่สุดว่าหลังจาก NEX หมดออเดอร์รถเมล์ไฟฟ้าแล้วจะไปทิศทางไหน ตนขอชี้แจงเพื่อสร้างความมั่นใจว่าจุดแข็งของ NEX คือเรามีโรงงานผลิตอยู่ที่เมืองไทย และมีสินค้าหลากหลาย ประมาณ 20 กว่ารุ่น ทั้งที่เป็นรถบัสโดยสาร รถมินิบัส รถตู้ และรถขนส่งสินค้าทุกประเภท ตั้งแต่รถปิคอัพ รถจัมโบ้ 6 ล้อ 10 ล้อ ไปจนถึงรถหัวลาก ซึ่งที่ผ่านมามีลูกค้าหลายแห่ง อาทิ บริษัท มนต์ทรานสปอร์ต จำกัด บริษัท ดีเอชแอล ซัพพลายเชน (ประเทศไทย) จำกัด หรือ DSL บริษัทเอสวีแอล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ SVL บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ได้นำยานยนต์ไฟฟ้าของ NEX ไปให้บริการ เชื่อว่าหลังจากมีการทดสอบสมรรถนะก็จะเกิดความพึงพอใจกับโปรดักส์ของเรา และน่าจะมีการขยายกองรถเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นายคณิสสร์ กล่าวอีกว่า เมื่อเร็วๆนี้ NEX ยังได้ส่งมอบรถมินิบัสไฟฟ้า ขนาด 7.3 เมตร และ 7.6 เมตร และรถตู้โดยสารไฟฟ้า ให้กับกองทัพเรือ เป็นความร่วมมือในโครงการทดลองรถพลังงานไฟฟ้า ถือเป็นหนึ่งในการจัดการสิ่งแวดล้อมของกองทัพเรือ (Green Navy) เพื่อลดมลพิษและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม เป็นรถต้นแบบให้หน่วยงานต่างๆ ทดลองใช้ในภารกิจต่างๆ รวมทั้งให้บริการกำลังพล หลังการทดลองเสร็จสิ้นจะมีการนำผลการทดลองมาเปรียบเทียบความคุ้มค่าและสรุปผล ซึ่งกองทัพเรือจะนำแนวทางดังกล่าวมาศึกษาเพื่อประกอบการพิจารณาจัดหายานยนต์ไฟฟ้าประเภทต่างๆทดแทนเครื่องยนต์สันดาปที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในอนาคต
นอกจากนี้ NEX ยังส่งมอบรถมินิบัสไฟฟ้า ขนาด 7.3 เมตร ให้กับโรงเรียนนานาชาติอริสตา สำหรับใช้ในการรับส่งนักเรียนเพื่อลดมลพิษและมลภาวะทางเสียงให้กับนักเรียนและชุมชน ดังนั้นมั่นใจว่าเรามีช่องทางทางการตลาดอย่างแน่นอน
ส่วนเรื่องคู่แข่งทางการตลาดต้องมีเข้ามาอย่างแน่นอน เพราะตลาดรถ EV กำลังเติบโต แต่การจะพิจารณาซื้อยานยนต์ไฟฟ้าไม่ใช่แข่งขันกันในเรื่องของโปรดักส์เท่านั้น แต่ต้องพิจารณากันทั้งระบบ ซึ่ง NEX มีความพร้อมทั้งในส่วนของโรงงานผลิตและประกอบ มีศูนย์ให้บริการหลังการขายและศูนย์เซอร์วิสของตัวแทนจำหน่ายที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ
นายคณิสสร์ กล่าวว่า เรายังมีระบบพื้นฐานโครงสร้างสำหรับรถไฟฟ้า ด้วยระบบ Fast Charger ที่ให้บริการชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง กระแสตรง หรือ Direct-current (DC) กระจายอยู่ในสถานีชาร์จประมาณ 500-600 จุด ถือว่าใหญ่ที่สุดในเมืองไทย และยังมีความพร้อมในเรื่องของแบตเตอรี่ที่มีการผลิตในเมืองไทย และในปีนี้ยังมีการผลิตมอเตอร์ ชิ้นส่วนอะไหล่ และสายไฟ ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักของรถ EV เป็นการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าว่าหลังจากซื้อรถไปแล้วจะมีคนดูแลเพื่อให้รถสามารถใช้งานได้นาน 5-10 ปี ซึ่ง NEX มีความพร้อมอยู่แล้วในขณะที่ผู้ผลิตรายอื่นอาจต้องใช้เวลา
อีกทั้ง NEX ยังขยายช่องทางการจำหน่ายผ่านตัวแทน ปัจจุบันได้ทยอยเซ็นสัญญากับตัวแทนต่างๆ ตามแผนที่วางไว้คือประมาณ 15 แห่ง ขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้างโชว์รูม ในอนาคตจะเห็นโชว์รูมของ NEX กระจายอยู่ในจังหวัดต่างๆ โดยเฉพาะจังหวัดใหญ่ๆ และล่าสุดยังมีข่าวดีลูกค้าจากเวียดนามมาเจรจาขอเป็นตัวแทนจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าของ NEX ถ้ามีการเซ็นสัญญาแต่งตั้งจะถือว่าเป็นตัวแทนจำหน่ายเพียงผู้เดียวในเวียดนาม และหลังจากนี้จะได้เห็นยานยนต์ไฟฟ้าของ NEX ส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศอาเซียน
“ที่ผ่านมามีข่าวตื่นเต้นกรณีบริษัทผลิตรถยนต์สัญญาติเวียดนาม อย่างบริษัท Vinfast ขึ้นแท่นแบรนด์รถยนต์อันดับ 3 ของโลก มีมูลค่าตลาด (Market Cap) ล่าสุดอยู่ที่ 6.6 ล้านล้านบาท แต่มีจุดที่น่าสังเกตคือ Market Cap ใหญ่โตมากแต่เมื่อดูงบประมาณกำไรขาดทุน Vinfast ขาดทุน 73,000 ล้านบาท เมื่อเทียบความสามารถในการทำผลกำไรเชื่อว่ากลุ่ม NEX และ EA ทำได้ดีกว่าเยอะ ปัจจุบัน NEX ทำกำไรทุกไตรมาส มียานยนต์ไฟฟ้าส่งมอบสู่ตลาดเมืองไทยแล้วกว่า 1,900 คัน และกำลังจะส่งมอบอีกกว่า 1,000 คัน พร้อมส่งออกไปขายในตลาดอาเซียน ดังนั้นผลประกอบการใน Q3 และ Q4 น่าจะเดาได้ไม่ยาก มองว่าการที่ Vinfast โตมากๆ แสดงให้เห็นว่ายานยนต์ไฟฟ้ามาถูกทางและเป็นกระแสที่ยากต่อการยับยั้งการเจริญเติบโต และเชื่อมั่นว่าเมื่อเรามีรัฐบาลเป็นรูปธรรมเกิดขึ้น และมีการออกนโยบายสนับสนุนรถ EV ขึ้นมาก็จะเป็นผลดีทั้งในส่วนความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ”