วันที่ 30ส.ค.2566 ที่กระทรวงมหาดไทย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ได้เชิญสื่อมวลชนรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน โดยมีนายนริศ ขำนุรักษ์ รมช.มหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และข้าราชการระดับสูงเข้าร่วมด้วย ในโอกาสอำลาตำแหน่ง
ทั้งนี้พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวเปิดใจต่อสื่อมวลชนว่า สื่อมวลชนมีส่วนสำคัญที่จะสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน ตนเข้าใจ ที่อาจจะมีคำถามแรงๆ หากมีการถามอวย คนก็ไม่ฟัง ต้องมีการถามแรงๆ บ้างอะไรบ้าง ซึ่งสื่อหลายคนที่อยู่ตรงนี้ ก็ติดตามทำข่าว มาตั้งแต่ตนเป็นผู้บัญชาการทหารบก อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาตนได้รับความเมตตาจากสื่อมวลชนถ้าพูดแบบไทยๆ แม้บางคนถามแรงแต่ก็ถือว่าทำงานด้วยกัน
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวต่อว่า ในเรื่องของบ้านเมืองไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นทั้งสิ้น สื่อมีความสำคัญ และมีอิทธิพล ในการทำให้สังคมรับรู้แนวคิด ซึ่งภาครัฐก็ทำงานอย่างเต็มที่ มีการปรับตัว เผยแพร่ ผ่านระบบ ออนไลน์มากขึ้น ภาครัฐยังทำงานแบบราชการแต่ถ้าสื่อพูดสังคมจะฟังจึงขอฝาก สังคมจะไปในทิศทางใด ขึ้นอยู่กับสื่อในการนำเสนอข่าว เขียนไปในทางที่ดีหรือความแตกแยก ดังนั้นขอฝากสื่อด้วย รวมถึงประเทศชาติฝากไว้กับสื่อเพราะในเร็ววันนี้อย่างที่ทราบกันดี วันใดที่คณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณแล้วตนและนายนริศก็ถือเป็นประชาชน เหมือนพวกท่าน เท่านั้น ซึ่งจะเป็นผู้รับผลประโยชน์จากทางการเมืองเหมือนกันไม่ว่าเขาจะตัดสินใจในเรื่องอะไร จะขึ้นภาษีหรือลดภาษี ตนก็ต้องได้รับผลจากผู้ที่อยู่ในอำนาจรัฐเหมือนกัน จึงขอฝากประเทศชาติไว้ด้วย
“หากจะถามว่ารัฐมนตรีที่มาใหม่ ดูแลกระทรวงมหาดไทยนั้น ในเรื่องของการบริหารราชการแผ่นดินเรามาด้วยระบอบประชาธิปไตย เป็นการเลือกตั้งเข้ามาและมีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี มีแนวคิดหรือนโยบายแนวทางอย่างไร ถือเป็นอำนาจหน้าที่ เราไม่ต้องไปห่วง ทฤษฎีของผม คือ เมื่อเราคิดและทำก็คิดว่าเราจะทำได้ ขณะที่คนเข้ามาใหม่ เขาคิดจะทำแบบใดก็ต้องเคารพกันไม่ต้องเป็นห่วงเป็นใย
สมมุติว่าใครที่คิดจะทำอะไรแล้วสื่อจะเป็นตัวบาลานซ์ สื่อจะมาวิจารณ์ว่าควรทำไม่ควรทำและจะมีผลกระทบอย่างไร ตรงนี้จะเป็นการลงตัวของสังคม ใครที่มาใหม่ผมก็ให้กำลังใจ ในการทำงาน ซึ่งการบริหารราชการแผ่นดินจะแนวทางไหนเราก็ต้องเคารพตามอำนาจหน้าที่ของเขา เมื่อเราเป็นประชาชนก็ เมื่อพวกเราเป็นประชาชนก็คอยนั่งเชียร์อยู่ข้างนอก เขาทำดีเราก็ได้รับผลประโยชน์ด้วย
ผมใช้ชีวิตง่ายๆ หากจะถามว่าหลังจากนี้จะไปทำอะไร อายุขนาดนี้คงต้องรักษาสุขภาพในช่วงท้ายของชีวิต ไม่ให้มีปัญหาสุขภาพมาก ต้องดูแลร่างกายพักผ่อน ออกกำลังกาย ทำในสิ่งที่ควรทำ หลายคนบอกให้ไปเลี้ยงหลาน ไอ้เราก็ยังไม่มีหลาน ลูกไม่ยอมมี เป็นเด็กรุ่นใหม่ มีครอบครัวแต่ไม่มีหลาน” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวด้วยว่า ต้องขอบคุณข้าราชการกระทรวงมหาดไทยที่ร่วมงานด้วยกันมา 9 ปีเต็ม กระทรวงมหาดไทยถ้าเทียบกับกองทัพบก มีหน่วย ทหาร วัฒนธรรม คล้ายๆกัน แตกต่างกันที่กระทรวงมหาดไทยไม่ต้องสวมเครื่องแบบทุกวัน แต่การทำงานของข้าราชการกระทรวงมหาดไทย ตนเชื่อมั่นในความสามารถของข้าราชการ เพียงแต่อย่าไปวุ่นวายในสิ่งที่ไม่ควร แค่นั้น และยอมรับว่าที่ผ่านมาข้าราชการกระทรวงมหาดไทยก็ทำให้ตนมีวันนี้ได้อยู่มาถึง 9 ปีเต็มในวันนี้(30ส.ค.) หลังจากนี้ จะใช้เวลาพักผ่อน โดยตั้งใจจะไปพักผ่อนที่ญี่ปุ่น ที่สำคัญทะเลอันดามันในประเทศไทย ก็จะไปให้ได้ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา มีแต่ไปทำงาน ไม่เคยเห็นทะเล แม้แต่ภูทับเบิกก็อยากจะเดินทางไปเพราะสวย
จากนั้นพล.อ.อนุพงษ์ และข้าราชการระดับสูงกระทรวงมหาดไทยได้ร่วมกันถ่ายภาพกับสื่อมวลชน โดยเฉพาะพล.อ.อนุพงษ์ ดูเหมือนผ่อนคลายร่วมกับสื่อมวลชน ถ่ายรูปเซลฟี่ ร่วมกับผู้สื่อข่าวและช่างภาพอย่างเป็นกันเอง