สยามรัฐ ยึดมั่นอุดมการณ์ปกป้องเทิดทูนสถาบันชาติศาสน์ กษัตริย์ ยืนหยัดรับใช้สังคมด้วยจิตสำนึกแห่งความรับผิดชอบ …*…
ถึงวันนี้ สารพัดข่าวลือ “ดีลลับ-ดีลเลิฟ”ต่างๆ นานา เป็นเรื่องจริงหรือแค่มโนกันไปเอง จากหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมาน่าจะให้คำตอบได้เป็นอย่างดี …*…
ไล่ตั้งแต่ช่วงเช้านายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่หลบหนีคดีทุจริตมากว่า 10 ปี เหินฟ้ากลับไทยด้วยเครื่องบินส่วนตัว โดยมีนักการเมืองใหญ่ว่าที่รัฐมนตรีหลายคนไปรอรับกันอย่างคึกคัก ก่อนมีการนำตัวนายทักษิณไปฟังคำพิพากษาและรับโทษในคุก จากนั้นช่วงบ่ายแก่ๆ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทยได้รับการโหวตผ่านจากรัฐสภาก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย และพอตกดึกในคืนวันเดียวกัน นายทักษิณก็เกิดอาการป่วยหนักกะทันหันต้องส่งตัวมารักษาที่โรงพยาบาลนอกคุก ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่นาน ผู้คนในโซเชียลมีเดียต่างเคยเห็นโพสต์เห็นคลิปบอกเล่าสุขภาพความแข็งแรงของนายทักษิณ …*…
เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามสคริปต์ที่เคยมีเสียงร่ำลือกัน ก็อย่าได้แปลกใจ ที่พรรคก้าวไกลจะหยิบฉวยประเด็นนี้ไปใช้อภิปรายไม่ไว้วางใจนายเศรษฐาเพิ่มเติมนอกเหนือจากการขยายแผลเก่าที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ฝากเอาไว้ …*…
หากไม่มีอะไรผิดพลาดคลาดเคลื่อน น่าได้เห็นรัฐบาลใหม่ก่อนต้นเดือนกันยายน ภายใต้การขับเคลื่อนของพรรคหน้าเดิม ที่มี “เพื่อไทย”ข้ามขั้วมารับบทแกนนำ …*…
ขณะที่การเมืองมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ แรงกดดันนอกสภาที่เคยล็อคเป้าไว้ที่ “3 ป.” กลายเป็นไหลไปเทรวมที่พรรคเพื่อไทยและนายเศรษฐา แทน …*…
กระนั้น ทั้งพรรคเพื่อไทยและนายเศรษฐาต่างก็รู้ดีอ่านเกมออกว่าต้องเผชิญอะไรบ้าง กับการย้ายข้างข้ามขั้วในครั้งนี้ และยอมรับราคาที่ต้องจ่าย ส่วนจะมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับผลงานในการทำหน้าที่บริหารประเทศ …*…
โดยเฉพาะการแก้โจทย์ใหญ่ปัญหาปากท้องของชาวบ้าน ที่ล่าสุดสภาพัฒน์เพิ่งมีการปรับลดประมาณการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปีนี้ลงเหลือร้อยละ 2.5-3.0 จากเดิมคาดร้อยละ 2.7-3.7…*…
“การปรับลดประมาณการ GDP มีปัจจัยหลักมาจากการหดตัวอย่างต่อเนื่องถึง 3 ไตรมาส ของการส่งออกไทย ที่มีผลมาจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนที่จะขยายตัวได้ร้อยละ 5 แต่การใช้จ่ายภาครัฐจะลดลงร้อยละ 3.1 จากการเบิกจ่ายงบประมาณที่ล่าช้า และคาดว่าการเบิกจ่ายงบประมาณ 2567 จะลงสู่ระบบในไตรมาส 2 ของปีหน้า โดยสภาพัฒน์ ยังได้ปรับลดประมาณการส่งออกไทยในปีนี้เป็นติดลบร้อยละ1.8 จากเดิมคาดไว้ที่ติดลบร้อยละ1.6% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้ ปรับลดลงมาที่ร้อยละ 1.7-2.2 จากเดิมร้อยละ 2.5-3.5เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง”นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒน์ระบุพร้อมกับชี้ถึงปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจเข้ามาซ้ำเติมเพิ่มปัญหาคือ 1.เงื่อนไขทางการเมืองที่อาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศทางเศรษฐกิจ 2.เศรษฐกิจโลกชะลอตัวมากกว่าคาด และความผันผวนในตลาดการเงินโลก 3.ภาระหนี้สินครัวเรือนและภาคธุรกิจที่ยังอยู่ในระดับสูง ท่ามกลางภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น และความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตภาคเกษตร …*…
อีกด้านหนึ่งมีการส่งสัญญาณจากภาคเอกชนผ่าน นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับประเด็นข้อเร่งด่วนที่หอการค้าฯ ต้องการให้รัฐบาลใหม่เร่งดำเนินการทันทีในช่วง 100 วันแรก ของการรับตำแหน่ง ได้แก่ 1) การแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน ผ่านนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ นโยบายลดค่าครองชีพให้แก่ประชาชน และลดต้นทุนภาคเอกชนทั้งค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าไฟฟ้า ที่ยังอยู่ในระดับสูงและปัญหาที่กระทบต่อการแข่งขันและการส่งออกของไทย รวมทั้งการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการ 2) เร่งเสริมความโดดเด่นภาคการท่องเที่ยวที่เป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสุดท้ายและถือเป็นช่วงฤดูท่องเที่ยว โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกเรื่องการทำวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวจีนให้รวดเร็ว และการเพิ่มเที่ยวบินรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้น 3) เร่งเบิกจ่ายงบประมาณที่ยังค้างท่ออยู่ และจัดทำงบประมาณรายจ่าย 2567 ให้เกิดความต่อเนื่องในการขับเคลื่อนแผนงานต่างๆ ทั่วประเทศ ตลอดจนเร่งสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนใหม่ๆ จากต่างชาติ ซึ่งจะช่วยให้เกิดการจ้างงาน และเป็นผลดีต่อตัวเลขการส่งออกในอนาคต …*…
“ หอการค้าฯ ได้มีการหารือกับคณะกรรมการและสมาชิกถึง 3 ประเด็นข้างต้น เพื่อนำเสนอรัฐบาลชุดใหม่พิจารณาดำเนินการทันที เพราะวันนี้ต้องยอมรับว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะซึมตัวต่อเนื่อง รวมถึงปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ยังมีความรุนแรงอยู่ หากประเทศไทยมีรัฐบาลในช่วงเวลานี้ก็จะสามารถช่วยดึงความเชื่อมั่นจากนักลงทุนและภาคธุรกิจต่างๆ กลับมาที่ประเทศไทยได้”คำเตือนจากประธานกรรมการหอการค้าฯ ที่ได้แสดงความมั่นใจด้วยว่าถ้ารัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ มีการเน้นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างจริงจังและตรงจุด รวมถึงดำเนินการตาม 3 ประเด็นเร่งด่วนตามข้อเสนอของหอการค้าไทย จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสของปีนี้กลับมาเติบโตได้โดดเด่น และทำให้ภาพรวมสามารถเติบโตตามเป้าหมายได้เกินร้อยละ 3.0 …*…
หากรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำสามาถฝ่าฟันนำพาเศรษฐกิจไทยฟื้นคืนกลับมาด้วยมาตรการกระตุ้นต่างๆ ได้ แรงกดดันจากทั้งใน และนอกสภาก็จะลดน้อยถดถอยลงไปโดยปริยาย สำคัญอยู่ที่ว่าจะทำได้จริงหรือไม่เท่านั้น
ที่มา:เจ้าพระยา (24/8/66)