วันที่ 22 ส.ค. 66 ที่รัฐสภา นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ถึงกรณีการจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านเชิงรุกตามแบบของตน ว่า หากเปรียบเป็นฟุตบอล จะมีผู้เล่นมากถึง 14 ล้านคนที่จะร่วมทำงานกับ ก.ก. ซึ่งเราก็พร้อมที่จะร่วมทำงานกับภาคประชาชนอย่างแข็งขัน ในฐานะที่เป็นพรรคที่มีประชาชนเป็นเจ้าของ ไม่ใช่พรรคเป็นเจ้าของประชาชนในแบบเดิม การทำงานแนบแน่นกับประชาชนก็ทำให้การทำหน้าที่ด้านต่างๆ ได้ทันท่วงทีขึ้น สิ่งที่เราตั้งใจมาก คือการแก้ไขกฎหมายที่ล้าสมัยที่เป็นต้นเหตุของการคอร์รัปชั่น ตนคิดว่าไม่น่าจะมีพรรคการเมืองใดให้ความสำคัญกับอำนาจนิติบัญญัติในลักษณะนี้
เมื่อถามว่า จะถอดบทเรียนอย่างไรบ้างเมื่อได้เป็นพรรคชนะเลือกตั้งอันดับ 1 แต่สุดท้ายต้องกลับไปเป็นฝ่ายค้าน นายวิโรจน์กล่าวว่า เรามีความภูมิใจ หากเราต้องตระบัดสัตย์ ทรยศหักหลังประชาชน ตนคิดว่านั่นคือสิ่งที่เราได้รับบทเรียนระยะยาว แต่หากเรายืนหยัดที่จะรักษาคำพูดและเจตนารมณ์ที่ให้ไว้กับประชาชน แม้จะมีความไม่สมประสงค์บ้างแต่ตนเชื่อว่าในระยะยาวประชาชนจะได้รับชัยชนะ หากเราคิดว่าเราจะเป็นพรรคการเมืองแบบเดิมๆ อย่างที่ตนย้ำว่าไม่มีความจำเป็นต้องมีพรรค ก.ก. แต่เราต้องการพรรคการเมืองที่มีประชาชนเป็นเจ้าของ เมื่อถึงทางสามแพร่งที่ต้องตัดสินใจ เราต้องคิดไปถึงหัวใจประชาชนจริงๆ ไม่ใช่ว่าเราจะปรับเปลี่ยนไม่ได้ แต่ท่าทีการตัดสินใจของเราต้องมีคำอธิบายที่ดี และเรามั่นใจด้วยว่าประชาชนต้องรับได้ แต่อะไรที่เป็นการหักหาญน้ำใจประชาชน เราทำไม่ได้อยู่แล้ว วันนี้ดีใจที่พรรค ก.ก. ที่ผู้สนับสนุนได้เป็นเจ้าของพรรคกันเรียบร้อย ที่มีเจ้าของพรรคทั้ง 14 ล้านคน
เมื่อถามว่า การเป็นฝ่ายค้านรอบนี้อาจจะต้องจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ด้วย จะสามารถทำงานร่วมกันราบรื่นหรือไม่ นายวิโรจน์กล่าวว่า ส.ส.ต้องทำงานร่วมกันอยู่แล้ว หากกฎหมายฉบับใดที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนก็ต้องร่วมกันผลักดันอยู่แล้ว ส่วนการตรวจสอบรัฐบาล ก็ต้องมีการร่วมมือกันเพราะเป็นหน้าที่
เมื่อถามว่า โดยรวมความรู้สึกของส.ส. พรรค ก.ก. เป็นอย่างไรบ้าง นายวิโรจน์กล่าวว่า จริงๆ เราก็มีความรู้สึกที่ตรงไปตรงมา คนที่พูดตรงไปตรงมาก็ไม่เห็นต้องรู้สึกอะไร รู้สึกอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ไม่ต้องคอยคิดประดิษฐ์คำโกหกไปเรื่อย ตนว่าเราสบายใจมากกว่า
เมื่อถามว่า ก่อนที่นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค พท. กล่าวปิดท้ายก่อนจะมีการโหวตเลือกนายกฯ ที่ระบุว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดถ้ามารวมกับพรรค ก.ก. ในตอนแรก นายวิโรจน์กล่าวว่า ตนคิดว่าอะไรที่มีการพาดพิงกับพรรค ก.ก. เราก็ใจกว้าง เรามีวุฒิภาวะและมีความเป็นผู้ใหญ่ แต่ในส่วนที่ตนรู้สึกเสียใจมากๆ คือเรื่อนโยบายการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นของประชาชน ซึ่งนพ.ชลน่านระบุว่าเป็นการหาเสียงเท่านั้น ซึ่งเราต้องตรวจสอบต่อเพราะจะไปกล่าวหาเลยก็ไม่ได้
“แต่ประโยคนั้นมันก็จึ้กอ่ะ รู้สึกจึ้กหัวใจ ตกลงแล้วการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นฉบับประชาชนเพื่อปลดแอกอำนาจของเผด็จการ ที่รังสรรผ่านรัฐธรรมนูญปี 2560 ตกลงเป็นเพียงแค่การหาเสียงจริงๆ เหรอ” นายวิโรจน์กล่าว
นายวิโรจน์กล่าวต่อว่า ดังนั้นคนที่ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ต้องเป็นเป็นฉบับประชาชนเท่านั้นเอง แต่หากโครงสร้างการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องมีการเกรงใจกับคำสั่งขององค์กรใดๆ ที่ได้รับการแต่งตั้งมาจากเผด็จการ คิดว่าประชาชนคงรับไม่ได้หรอก ส่วนจะแก้อะไรตนก็ตอบไม่ได้ ต้องขึ้นอยู่กับสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากประชาชน ว่าเขาต้องการอย่างไร และร่างรัฐธรรมนูญภายใต้กรอบของประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
เมื่อถามว่า มีอะไรจะฝากถึงประชาชนที่เลือกพรรค ก.ก. และรู้สึกผิดหวังหรือไม่ นายวิโรจน์กล่าวว่า ตนคิดว่าคนที่เลือกพรรค ก.ก. ไม่ผิดหวัง เพราะเราทำตามทุกอย่างที่เคยพูด ถ้าจะผิดหวังคือการพูดอย่างแล้วทำอีกอย่าง หาข้อแก้ตัว ชักแม่น้ำทั้งห้ามากกว่า ต้องเรียกว่าไม่สมประสงค์ดีกว่า แต่ก็ยังให้กำลังใจและจับมือเดินกันต่อไป
เมื่อถามว่า ภายหลังสิ้นสุดการโหวตนายกฯ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ก.ก. ได้ส่งสัญญาณอะไรมาหรือไม่นายวิโรจน์กล่าวว่า เรายังไม่มีโอกาสได้คุยกัน แต่ก็คงจะมีโอกาสได้พูดคุยกันอีกที
เมื่อถามว่า การเดินทางกลับมาของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี สื่อถึงนัยยะทางการเมืองหรือไม่ นายวิโรจน์กล่าวว่า มันก็คงจะสื่อบ้าง ถ้าจะบอกว่าไม่มีนัยยะสำคัญอะไรเลยก็คงไม่ได้ แต่ตนยังยืนยันเหมือนเดิมว่า สิ่งที่นายทักษิณโดนกระทำไปเมื่อ 10 ปีก่อนไม่ยุติธรรมแน่ๆ ซึ่งนายทักษิณก็ควรได้รับความยุติธรรม แต่อย่างไรก็ตามความยุติธรรมที่นายทักษิณได้รับ ผู้ลี้ภัยคนอื่นๆ ก็ควรจะต้องได้รับเช่นเดียวกัน ทุกคนควรได้รับความยุติธรรม ไม่ใช่ได้รับเพียงบางคน มันไม่เรียกว่าความยุติธรรม แต่เรียกว่าสิทธิพิเศษ