วันที่ 21 ส.ค.2566 ที่รัฐสภา นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม สว. กล่าวถึงแนวโน้มโหวตนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 22 ส.ค. ว่า การโหวตของสว.เป็นไปตามหลักการ โดยตนยังยืนยันว่าถ้าเสียงส่วนใหญ่เสนอใครคนนั้นมีโอกาส 95-100 เปอร์เซ็นต์ที่จะได้เป็นนายกฯ ส่วนประเด็นที่สมาชิกรัฐสภาน่าจะสนใจคือ หากเป็นคนใดที่ถูกเสนอชื่อท่านนั้นต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญซึ่งถือเป็นเรื่องพื้นฐานอยู่แล้ว และมาตรฐานจริยธรรม คุณธรรม และความประพฤติอันเป็นที่ประจักษ์ว่ามีความซื่อสัตย์สุจริต มีความรู้ความสามารถ นำไปประเทศไปได้ และนำรัฐบาลของประชาชนไปสู่ความสำเร็จตามนโยบายที่วางไว้ได้
นายดิเรกฤทธิ์ กล่าวอีกว่า อีกเรื่องที่ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้รับการเสนอชื่อ ต้องเสนอความชัดเจนว่านโยบายของท่านนำพาประเทศไปสู่ความสงบเรียบร้อย นำความรุ่งเรืองมาให้ประเทศชาติและประชาชน อย่างประเด็นที่บางคนออกมาแสดงความคิดเห็นว่า หากได้เป็นนายกฯ จะให้มีมติจัดทำประชามติเพื่อยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน และให้มีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ(สสร.) ซึ่งเลือกมาจากตัวแทนทั้งประเทศ ซึ่งตนต้องการคำอธิบายที่ชัดเจน เพราะการเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีความจำเป็นมากน้อยเพียงใดที่จะต้องแก้ทั้งฉบับ ในขณะที่สส.ก็เลือกมาจากตัวแทนทั้งประเทศ ทำไมไม่แก้เป็นรายมาตรา เรื่องที่จะต้องจำเป็นแก้ไขมีสาระสำคัญจนต้องแก้ทั้งฉบับอย่างไร และหากแก้ทั้งฉบับจะมีขอบเขตอย่างไร เช่น หมวดหนึ่ง ความมั่นคงแห่งรัฐ หมวดสอง สถาบันพระมหากษัตริย์ ฝ่ายบริหาร ตุลาการ องค์อิสระ ศาล เป็นต้น ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นข้อมูลสำคัญที่สมาชิกรัฐสภาจะต้องใช้ประกอบการพิจารณาให้ความเห็นชอบนายกฯ
เมื่อถามว่า หากวันที่ 22 ส.ค. แคนดิเดตนายกฯ ยังเป็นนายเศรษฐา ทวีสิน ทางสว.ยังมีข้อกังขาเรื่องคุณสมบัติและความเหมาะสมหรือไม่ นายดิเรกฤทธิ์ กล่าวว่า ถ้ายังเป็นนายเศรษฐาก็ยังมีข้อกังวล เพราะนายเศรษฐามีกรณีถูกกล่าวหาว่าสมัยเป็นผู้บริหารบริษัทมหาชนมีพฤติการณ์ทุจริต เลี่ยงภาษี จ้างนอมินีทำให้ราคาที่ดินที่ซื้อไม่ตรงกับข้อเท็จจริง มีเงินทอน นี่คือข้อกล่าวหา ซึ่งนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง นำมากล่าวหาพร้อมหลักฐาน รวมถึงกรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ก็ได้นำประเด็นของนายชูวิทย์มาร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการ(กมธ.)พัฒนาการเมือง วุฒิสภา ซึ่งทางคณะกมธ.ได้ทำหนังสือไปสอบถามยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมที่ดิน กรมสรรพากร ซึ่งนี่เป็นเรื่องของคุณธรรม จริยธรรม ความประพฤติ ที่เราจะนำมาพิจารณานายเศรษฐา รวมถึงเรื่องการประกาศแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นคำถามใหญ่ที่จำเป็นจะต้องให้ข้อเท็จจริงต่อสมาชิกรัฐสภา
นายดิเรกฤทธิ์ กล่าวอีกว่า ต้องให้ความเป็นธรรมกับนายเศรษฐา เพราะถูกกล่าวหาหลายประเด็น และเป็นข้อกังวลที่สส. สว. ได้เป็นห่วง โดยมีการแนะนำนายเศรษฐาจำเป็นต้องทำความชัดเจนในเรื่องนี้ก่อนมีมติโหวตนายกฯ ซึ่งทางนายเศรษฐา และพรรคเพื่อไทยสามารถชี้แจงต่อประชาชนได้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเกิดความสง่างามในการเข้ารับตำแหน่งนายกฯ แม้นายเศรษฐาจะไม่ได้เป็นสส. ไม่สามารถเข้ามาชี้แจงต่อที่ประชุมรัฐสภาได้ แต่เพื่อไม่ให้เสียประโยชน์ก็สามารถทำหนังสือประธานรัฐสภาขอชี้แจงได้ ประธานก็จะใช้ดุลยพินิจให้นายเศรษฐาเข้ามาชี้แจงได้ด้วยตัวเองเหมือนกับตัวแทนหน่วยราชการอื่นที่ต้องการเข้ามาชี้แจง หรือสส.สามารถเสนอญัตติให้นายเศรษฐาเข้ามาชี้แจงได้ ซึ่งทั้งหมดเป็นข้อเสนอแนะส่วนตัว แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนายเศรษฐาและพรรคเพื่อไทยจะพิจารณา เพื่อความน่าเชื่อถือของตนเอง