หมายเหตุ : ขณะที่การขับเคลื่อนเดินหน้าจัดตั้ง “รัฐบาลใหม่” โดย “พรรคเพื่อไทย” ทำหน้าที่เป็นพรรคแกนนำ เพื่อให้ได้รัฐบาลใหม่นั้น ปรากฏว่าตลอดห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความเคลื่อนไหวจาก “มวลชน” สารพัดกลุ่มพากันออกมาแสดงความไม่พอใจ ทั้งที่อ้างตัวว่าเป็น “อดีตคนเสื้อแดง” ไปจนถึงม็อบที่สนับสนุนพรรคก้าวไกล การชุมนุมของการเมืองภาคประชาชน จะมีผลหรือไม่ และอย่างไร รวมทั้งจะส่งผลต่อการตั้ง “รัฐบาลพิเศษ” ที่จะเกิดขึ้นด้วยหรือไม่

“จตุพร พรหมพันธุ์” วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ให้สัมภาษณ์พิเศษ รายการ “สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์”เผยแพร่ผ่านช่องยูทูบ Siamrathonline เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมามีสาระดังนี้

-ต้องขอให้ช่วยประเมินสถานการณ์การเคลื่อนไหวของมวลชน ต่อการจัดตั้งรัฐบาลพิเศษตามที่พรรคเพื่อไทยระบุเอาไว้ จากนี้จะเป็นอย่างไร

คำว่ารัฐบาลพิเศษ ปัญหาก็คือพิเศษอย่างไร ความเป็นพิเศษมันต้องมีความชอบธรรมเป็นองค์ประกอบ และความชอบธรรมแรกนั่นคือคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน และถ้าไม่สามารถที่จะจัดตั้งรัฐบาลตามคำมั่นสัญญาให้กับประชาชนได้ก็ต้องยอมรับความเป็นจริง อารมณ์ความรู้สึกของประชาชนณขณะนี้ก็กำลังไม่สบายใจ เพราะว่าเหตุผลที่ทางพรรคเพื่อไทยกำลังดำเนินการจัดตั้งรัฐบาลอยู่นั้นเป็นสิ่งที่สวนทางกับสิ่งที่พรรคเพื่อไทยได้ประกาศขณะรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง และรวมกระทั่งการต่อสู้ที่ผ่านมา จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพรรคเพื่อไทยได้ประกาศไว้ โดยเรื่องแรก คือประกาศเอาเสื้อแดงกลับบ้าน ประกาศปิดสวิตช์ “3 ป.”ปิดสวิตช์ ส.ว.,ไล่หนูตีงูเห่า แล้วก็เป็นผู้นำในซีกฟากฝั่งประชาธิปไตย แต่ว่าข้อเท็จจริงที่ดำรงอยู่ ณ ขณะนี้นั้น มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น และประชาชนได้มองเห็นคือความไม่อยู่กับร่องกับรอย วันหนึ่งพูดอย่าง อีกวันพูดอีกอย่าง แม้กระทั่งการอธิบายว่าสิ่งที่พูดมาเป็นเพียงแค่การรณรงค์ให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียง พูดมาภายใต้สมมติฐานว่าแลนด์สไลด์ ถ้าไม่แลนด์สไลด์ก็ไม่ใช่ และที่บอกว่าเป็นรัฐบาลเพื่อจะมาแก้เศรษฐกิจของชาติ ตอนแรกเลย ก็หลีกเลี่ยงคำว่าข้ามขั้ว อธิบายว่าเขาข้ามมาเอง พอจนมุมก็บอกว่าใช้คำว่าสลายขั้ว และจนกระทั่งเมื่อแยกทางกับพรรคก้าวไกล ก่อนแยกทางก็เชิญซีก 188 มากินมินต์ช็อก ถึงที่ทำการพรรค วันที่ประกาศแยกกับพรรคก้าวไกล ได้มีการกล่าวอ้างว่าผู้มีอำนาจก็ไม่เอาพรรคก้าวไกลแล้ว ซึ่งไม่มีที่พิสูจน์ใดๆว่าจะเป็นอย่างนั้น  และหนำซ้ำบอกว่าไม่ต้องตามมาโหวต ให้เพราะเดี๋ยวสว.จะไม่สบายใจ ส.ส.พรรคต่างๆจะไม่สบายใจ เพราะเขาประกาศชัดเจนว่าถ้ามีก้าวไกลเขาก็ไม่มาร่วม เป็นการแจ้งเพื่อทราบว่าพรรคก้าวไกล และจนกระทั่งเมื่อวันก่อน (9 ส.ค.66) มีทั้งขอโทษ ขอขมาไปยังพรรคก้าวไกลเพื่อให้เขามาโหวตให้แล้วกลับไปเป็นพรรคฝ่ายค้าน ไอ้นี่เป็นเรื่องประหลาดประหลาดมากที่สุดคือถ้ากลับมา ก็คืนสู่สถานะเดิม MOU เดิมข้อตกลงเดิม ผมเชื่อว่าเป็นข่าวที่คนไทยมีความน่ายินดี แล้วก็ตกลงกันว่าจะทำอย่างไร แต่ว่าไม่ใช่กลับมาที่มีลักษณะที่เอาแต่ได้ ก็คือหมายความว่าให้มาโหวตให้อย่างเดียว แต่ในทางการเมืองเราก็วิเคราะห์กันไปถึงจุดที่ว่ามันคือทางผ่าน หมายความว่าพรรคก้าวไกลเขาไม่มีทางเลือกอย่างนี้  และนอกจากไม่เห็นชอบ ไม่เห็นด้วย เพราะว่าถ้าไปโหวต พรรคก้าวไกลก็ต้องเลิกกินข้าวเหมือนกัน เพราะว่าตัวเองเจอหลอกแล้ว หลอกอีก หลอกตั้งแต่เรื่องตำแหน่งประธานสภาฯ จนกระทั่งถึงนายกรัฐมนตรี และก็ประกาศแยกทาง แต่พรรคเพื่อไทย จะได้ใช้เหตุผลนี้ ว่าได้พยายามที่จะชวนพรรคก้าวไกล ไปโหวตให้แล้ว แต่เขาไม่โหวตให้จึงจำเป็นจะต้องไปจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ รวมไทยสร้างชาติและพลังประชารัฐ เห็นไหมว่า นี่มันก็คือทางผ่าน คือการเมืองมันไม่ได้มีอะไรสลับซับซ้อน ไม่ได้มีใครเห็นว่า ไอ้วิธีการนี้คุณจะฉลาด เหมือนกับการที่วัยรุ่นเสียคน ไปติดยาก็บอกว่าเป็นเพราะสภาพแวดล้อม เป็นเพราะเพื่อน เพื่อจะเป็นเหตุผลในการอธิบาย แต่นี่เป็นคนการเมืองที่บรรลุนิติภาวะแล้วทั้งสิ้น บางคนก็อายุเกินกว่า 70 ปีแล้ว วันหนึ่งพูดอย่าง พรุ่งนี้พูดอย่าง มะรืนพูดอย่าง ที่สำคัญที่สุดถ้าเราอ่านแล้วก็คือหมายความว่ามันเป็นเพียงแค่กลยุทธ์ มันไม่เห็นความจริงใจซึ่งกันและกัน

และนี่คือการนำพาไปสู่วิกฤต คือหมายความว่าไปพบ ไปขอในสิ่งที่เขาต้องปฏิเสธ และจะเอาข้อความที่เขาปฏิเสธ เพื่อจะเป็นบางข้อกล่าวอ้างกับประชาชนว่ามีความจำเป็น ไม่มีทางเลือกเป็นอย่างอื่น ต้องการสลายขั้วบ้าง บางวันก็ใช้คำขวัญพรรครวมไทยสร้างชาติมาพูดในพรรคเพื่อไทยว่าประเทศไทยต้องไปต่อ เห็นหลายคนพูดลักษณะเดียวกัน ทั้งที่คำขวัญเพื่อไทยคือหัวใจคือประชาชน วันนี้ใช้คำว่าประเทศไทยต้องไปต่อแล้ว

-กรณีที่เมื่อภาพออกมาเป็นแบบนี้แล้ว คุณจตุพรมองว่าความไม่พอใจ ความคุกรุ่นต่างๆ อาจจะก่อให้เกิดกระบวนการ การขับเคลื่อนกันในการเมืองลงไปสู่ท้องถนน ที่อาจจะเพิ่มดีกรีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นหรือไม่

คือประชาชนนั้น ผมเชื่อว่าถ้าคิดจะลงท้องถนน มันเป็นหนทางสุดท้ายจริงๆ เราผ่านการลงท้องถนนตั้งแต่วัยเด็กจนกระทั่งอีก 2 ปีก็จะครบ 60 แล้ว มันต้องเป็นทางเลือกสุดท้ายจริงๆ  เพราะการลงท้องถนน มันต้องแลกกับชีวิตมากมาย ต้องแลกกับชีวิตอิสรภาพ หลังจากนั้นก็มีเรื่องราว ตามกันมานับไม่ถ้วน ถ้ามันมีทางเลือกอย่างอื่น ที่เราก็พยายามนำเสนอว่า ควรจะทำอย่างไร แต่ว่าอารมณ์ ความไม่พอใจ ที่ผมสัมผัสอาการได้ว่าที่น่ากลัวกว่ามวลชนของพรรคก้าวไกลที่จะออกมาขับไล่ก็คือมวลชนที่เขาเลือกพรรคเพื่อไทยเอง

พี่น้องคนเสื้อแดงที่เขาอยู่ในสนามรบสนามการต่อสู้ไม่ใช่ใส่เสื้อแดงอยู่ในโซเชียล แต่ของจริงที่เขาผ่านความเป็นความตายมาโดยส่วนใหญ่ไม่มีใครรับพฤติกรรมอันนี้ได้เลย แค่จับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ยังยาก บังเอิญว่าพรรคประชาธิปัตย์ก็มีปัญหาภายในพรรคหรือว่าข้อเรียกร้องให้มาเป็นคนคนเป็นงูเห่า ไม่ว่าจะซีกอย่างรวมไทยสร้างชาติ พลังประชารัฐ แม้กระทั่งประชาธิปัตย์เอง วิธีการอย่างนี้พรรคเพื่อไทยไม่ควรนำมาใช้ เพราะตัวเองประกาศไล่หนู ตีงูเห่า แสดงความรังเกียจทางการเมืองแล้วตัวเองก็ไปประพฤติเองทั้งหมด ก็บอกก็ตอนหาเสียงเลือกตั้งบอกว่าเป็นการรณรงค์เพื่อได้คะแนนเสียง วันนี้ก็คือการกระทำทุกอย่างเพื่อได้มาซึ่งการเป็นรัฐบาล แล้วมีอะไรในชีวิตบ้างที่มันเป็นความจริง ที่จะบอกกับพี่น้องประชาชน ไม่ให้เขาผิดหวังได้บ้าง

-แต่ประเด็นนี้เห็นมีพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส  หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย บอกว่าไม่ใช่นโยบายของพรรคในเรื่องของไล่หนู ตีงูเห่าเป็นแค่แคมเปญ

ปัญหาหลักคือ ณ วันนี้คุณเสรีพิศุทธ์เองจากพรรค 10 เสียง เหลืออยู่เสียงเดียว เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุด พรรคเพื่อไทยต้องการมีชะตากรรมอย่างไร เพราะการพูดมันคือคำมั่นสัญญา การไม่รักษาคำมั่นสัญญาคือความจำเป็นในปัจจุบัน การเมืองไม่ได้เป็นญาติกับศีลธรรม มันครบทุกข้อ ที่นี้การเมืองมันต้องมองประชาชนว่าเขาเป็นคนที่มีเกียรติ และเป็นการพูดกับเจ้าของอำนาจอธิปไตย รับปากเขาไว้อย่างไรแม้ว่าให้ได้ซึ่งคะแนนเสียงก็ตาม แต่ว่ามันต้องมีความจริงกับเขา ไม่ใช่บอกว่านี่คือการหาเสียงไม่ใช่นโยบาย แต่ประชาชนเลือกเพราะจุดยืนทางการเมืองในการตัดสินใจ เพราะฉะนั้นเมื่อเขาหลงเชื่อเขาเลือกด้วยเหตุผลนี้แล้วก็บอกว่านี่เป็นเพียงการหาเสียงก็คือการสร้างความเชื่อและคนที่เชื่อเขาไปกาคะแนนให้แล้วไม่ปฏิบัติตามในสิ่งที่พูดก็เข้าข่ายหลอกลวงแบบที่คุณเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ไปยื่นให้มีการยุบพรรค ดำเนินคดีกันอยู่ในขณะนี้

-มีการวิเคราะห์กันไปก่อนหน้านี้ว่าวันนี้เสื้อแดงโรยราแล้ว

คือความเป็นจริงมันเป็นระยะเวลาต่อสู้ที่มันยาวนานเพียงแต่ว่าคนเสื้อแดงก็เป็นกลุ่มคนที่มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ตายมากที่สุด เจ็บมากที่สุด สูญสิ้นอิสรภาพมากที่สุด ได้รับความอยุติธรรมมากที่สุด อย่าไปพูดถึงความแข็งแรง แต่เอาความรู้สึกที่เขายังมีลมหายใจอยู่เราควรจะไปทรยศต่อความรู้สึกเขาหรือไม่

“ ผมเองเวลาที่เดินออกมาจากการเกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย ผมไม่เคยไปแสวงหาผลประโยชน์ใดๆกับคนเสื้อแดง แม้กระทั่งตอนไปเลือกตั้งอบจ.เชียงใหม่ ผมก็ประกาศ ผมจะไม่เดินทางไปพบพี่น้องเสื้อแดง แม้แต่เพียงรายเดียว เพราะผมเองก็เห็นว่าเขาเหนื่อยมามาก เขาตาย เขาเจ็บ เขาสูญสิ้นอิสรภาพ ครอบครัวพินาศย่อยยับ พรรคเพื่อไทยจะไปตอบแทนกับเขาอย่างนี้หรือ”

การเลือกตั้งปี 54 เขาก็ตอบแทนให้ เลือกตั้งปี 66 เขาก็ทำหน้าที่ให้ ตายเขาก็ตายให้ เจ็บก็เจ็บให้ ติดคุกก็ติดคุกได้ พรรคเพื่อไทยจะเป็นรัฐบาลหรือไม่ เป็นรัฐบาลเขาก็เป็นประชาชนที่มีความทุกข์ระทมอยู่เหมือนเดิม แค่รักษาหัวใจความรู้สึกให้เขาแค่นี้ ยังให้ไม่ได้ แล้วก็อย่าไปคิดว่าอาจจะมีกำลังหรือไม่มีกำลัง กรณีคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ปลุกมาเป็นปีมันไม่ขึ้น แต่พอมาเรื่องนิรโทษกรรมสุดซอย ใช้เวลา 4 วันคนก็เต็มท้องถนน

ส่วนเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 ซึ่งผมอยู่ในเหตุการณ์แล้วก็เป็นไม้สุดท้ายในเหตุการณ์นั้น ก็เริ่มต้นจากความไม่ชอบธรรมต่อไปที่จะใหญ่กว่าเสื้อแดงก็คือประชาชนก็คือหมายความว่า ไอ้ที่ใหญ่กว่าการเป็นสีเสื้อต่างๆ คือความเป็นคน ความเป็นคนที่จะรักซึ่งความถูกต้อง ความดีงามและถ้าเขามีความรู้สึกว่าการกระทำที่มันไม่ชอบ มันไม่จำเป็นจะต้องเป็นคนใส่เสื้อสีอะไรอย่างที่ผมบอกว่าการที่ไม่สามารถรับกับความที่ไม่ถูกต้อง ความอยุติธรรมได้ มันอยู่ในแก่นแท้ของการเป็นคนไทยทุกคน ใหญ่กว่าการเป็นสีเสื้อคือความเป็นคน ต่อให้คุณใส่เสื้อแดงแต่คุณไปรับกับความอยุติธรรมได้ คุณก็ไม่ใช่คน เพราะฉะนั้นมันไม่ได้อยู่ที่สีเสื้อสีเสื้อมันคือเกียรติ แต่แก่นแท้ของความเป็นคนไทยเรื่องเหล่านี้เขาเคยรับไม่ได้และผมเชื่อว่าบัดนี้ก็ยังรับไม่ได้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

-คุณจตุพรมองว่าพรรคเพื่อไทยเดินตามหมากนี้ กลยุทธ์นี้อาจจะทำให้กระแสในอนาคตตก ประเมินว่าพรรคเพื่อไทย เตรียมความพร้อมเอาไว้สำหรับการวางมือของคุณทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯและคนในตระกูลชินวัตรเหมือนกัน เพราะฉะนั้นตรงนี้คือเป็นเกมที่พวกเขาเดิมพันเอาไว้แล้ว

ผมก็วิเคราะห์ว่าถ้าเทียบเหมือนบริษัทหนึ่ง เหมือนเจ้าของวางแผนเลิกกิจการ เพราะว่าคนที่ต้องการให้กิจการก้าวหน้าต้องไม่กล้าทำในสิ่งเหล่านี้ ผมเคยเปรียบเปรยถึงขนาดเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวที่คนเต็มร้านอยู่ดีๆเจ้าของอยากจะเลิกไม่รู้จะเลิกอย่างไรก็ตีแมลงวันใส่ชามก๋วยเตี๋ยวให้คนกินเข็ดหลาบกันไปตามๆกัน วันนี้มันเป็นความน่าสงสัยที่สุด เพราะการได้มาซึ่งรัฐบาลก็ได้มาแล้วหลายรอบ แต่จำเป็นจะต้องทำด้วยวิธีการนี้หรือ  ผมไม่เคยเห็น ผมเป็นสมาชิกตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พลังประชาชน จนกระทั่งเพื่อไทย แต่วันนี้ผมไม่เป็นสมาชิกพรรคใดๆ เพราะหนึ่งก็ตามกฎหมายก็เป็นไปได้แล้วก็ไม่ได้ ไปช่วยพรรคการเมืองใด กากบาทในวันเลือกตั้ง ก็กาช่องไม่ลงคะแนนให้กับใคร ผมไม่เคยเห็นจุดต่ำสุดของพรรคเพื่อไทยในการไม่รักษาคำพูดตระบัดสัตย์  ไม่อยู่กับร่องกับรอย และทำแต่ละเรื่องด้วยความทุเรศ ทุรังตกต่ำที่สุด ในสายตาทางการเมืองที่ผมอยู่ ในเส้นทางกับเขามานานผมไม่เคยเห็นจุดต่ำอย่างนี้มาก่อนแล้ววันนี้ก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐบาลทั้งที่เสียความชอบธรรม มนุษย์ปกติที่ไหนเขาจะไปทำแบบนี้

-การโหวตนายกฯ ที่คาดการณ์กันว่าจะมีขึ้นในวันที่ 22 ส.ค.66 จะเป็นแบบม้วนเดียวจบ เหมือนกับที่แกนนำพรรคเพื่อไทย บอกเอาไว้หรือไม่ หรือม้วนเดียวจอด  

คือคุณภูมิธรรมนั้น ถือสาระอะไรไม่ได้ ลองไล่เลียงในระยะเวลาไม่กี่วัน เอาแค่เรื่องเกี่ยวข้องกับพรรคก้าวไกล เรื่องการกลับบ้านของนายกฯทักษิณ เรื่องทุกๆเรื่องที่คุณภูมิธรรมพูดว่า มีอะไรที่มันไม่มีการเปลี่ยนแปลง ผมยังกระเซ้าว่า ผมเชื่ออย่างเดียวว่าท่านชื่อภูมิธรรม เวชยชัย ชื่อเล่นว่าอ้วน ที่เหลือนั้นผมไม่เชื่ออะไรเลย เพราะพูดในแต่ละวันมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด

 เหมือนเรื่องขอโทษ ขอขมาก่อนหน้านี้แสดงจุดยืนอย่างไร เพราะฉะนั้นถ้าเราวิเคราะห์ทางการเมืองปกติ ถ้าเราคิดเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ศักดิ์ศรีความเป็นคน เรื่องเกียรติภูมิ เกียรติยศมาเป็นตัวตั้งฐาน เราจะวิเคราะห์การเมืองรอบนี้ผิดหมด เราต้องเอาจุดต่ำสุดคือความกระจอกงอกง่อยของมนุษย์ ตามกมลสันดานหรือว่าความเป็นธาตุแท้ในเป็นตัวเป็นฐานตั้งและเราจะวิเคราะห์การเมืองรอบนี้ได้อย่างถูกต้อง

แต่ว่าเอาเรื่องมนุษย์ปกติเอาความชอบธรรมมาเป็นตัวตั้งในการวิเคราะห์ทางการเมืองรอบนี้เราจะผิดหมด นี่เป็นสิ่งแรกที่ผมไม่เคยเจอการเมืองอะไรที่มันสามารถกลับไปกลับมา สับปลับ โกหกตลบตะแลง ปลิ้นปล้อน ได้ถึงขนาดนี้ขออนุญาตใช้คำพวกนี้ เพราะว่าผมไม่เคยเห็นจริงๆแ ละยิ่งสำคัญที่สุดความเป็นไทยรักไทย พลังประชาชน จนกระทั่งถึงพรรคเพื่อไทยไม่เคยมียุคใดสมัยใดมันจะตกต่ำได้ถึงขนาดนี้ในเรื่องของความน่าเชื่อถือ

-ถ้าอ่านในมุมที่มีการประเมินกันอาจจะตั้งรัฐบาลได้  และอาจจะประคองไปได้ ตรงนี้อย่างที่คุณจตุพรบอกว่าอาจจะไม่ต้องใช้ตรรกะอะไรอย่างที่บางคนวิเคราะห์กัน แต่ก็อาจไม่มีเสถียรภาพและอาจจะมีการเลือกตั้งเร็ว ตรงนี้เป็นไปได้หรือไม่ว่าทฤษฎีที่คุณจตุพรที่เคยพูดถึง ก็คือจะไปเข้าสู่การเรียกอำนาจนอกระบบเข้ามา อย่างเช่น การรัฐประหารจะต้องไปจบที่ตรงนั้นหรือไม่

คือผมเสนอให้ทางเลือกชัดเจนอยู่แล้ว สมัยที่มี 312 เสียงกับ 188 เสียง มี 250 ส.ว. มีนายกฯรักษาการที่วางมือ ผมเสนอให้คุยกัน วันนี้มันไม่มีซีกนี้นะ  312 และ188 เสียง ต่อไป ก็เอาเป็นว่ากลุ่มการเมืองในซีกที่ได้รับการเลือกตั้ง 500 คน ส.ว. 250 คน และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกฯรักษาการ และพูดประกาศวางมือแล้ว จะต้องมาเจรจาร่วมกันเพื่อหาทางออก มากกว่าไปจัดตั้งรัฐบาลด้วยการตระบัดสัตย์ ด้วยการทรยศประชาชน

 ตกลงกันว่าแล้วจะหาทางออกกันอย่างไร ถ้าไม่มีทางออกนั้นก็ใช้ช่องทางว่าให้พล.อ.ประยุทธ์ ยุบสภาคืนอำนาจให้กับประชาชนมีข้อสงสัยว่ารัฐบาลรักษาการจะยุบสภาได้หรือไม่ ผมก็เชื่อว่ายุบได้ แต่ว่าถ้ามีคนสงสัยก็สามารถยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก็ได้ เอาอำนาจคืนกลับไว้ที่ประชาชน เพราะถ้าดันไปข้างหน้าท้ายที่สุดต้องไปคืนอำนาจให้กับทหารอยู่ดีปัญหาก็คือว่าอย่าไปเสียดายเงิน 6,000 ล้านบาท เมื่อมีการชุมนุมความไม่สงบเกิดขึ้น งบ 6,000 ล้านบาท เพียงแค่วันเดียวสำหรับการปราบปรามประชาชน แล้วท้ายที่สุดต้องใช้งบประมาณมากกว่านี้และประเทศเสียหายจะมากกว่านี้

ดังนั้นจึงอย่าอ้างวิกฤติของชาติเพื่อประโยชน์ของตน แต่จงใช้วิกฤติของชาติในการร่วมมือกันในการหาทางออกเพื่อประโยชน์ของชาติ ไม่ใช่ประโยชน์ส่วนตัว

ถ้าคิดประโยชน์ส่วนตัวโดยอ้างชาติบ้านเมืองมันไม่มีทางจะแก้ไขได้ แล้วเราเองก็เห็นแล้วว่าไอ้ตรรกะความคิดต่างๆมันจับได้ไล่ทันกันทั้งนั้น ทำกันไปทำไมให้อับอายขายขี้หน้าได้รับการจารึกไปจนชั่วลูกชั่วหลาน มันควรจะเป็นแบบอย่างที่ดีไม่ใช่หรือ

-คุณจตุพรพูด ว่าอาจให้มีการยุบสภาและมีการเลือกตั้ง ก็บังเอิญว่าช่วงที่ผ่านมามีบางกระแสพูดถึงอาจจะมีการทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะขึ้นมา คุณจตุพรมองว่าเป็นไปได้หรือไม่ และจะยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์

คือมันไม่มีอะไรจะเลวร้ายไปมากกว่านี้ที่ ให้นายกฯรักษาการ ยุบสภาก็เนื่องจากว่ามันไปไม่ได้ และเป็นความเห็นพ้องต้องกันก็คือหมายความว่าไม่ใช่ว่าพล.อ.ประยุทธ์ อยู่ดีๆจะไปใช้อำนาจ แต่เป็นเรื่องของการเห็นพ้องต้องกัน ส่วนที่จะมีข้อสงสัยทางกฎหมายก็ว่ากันไป แต่ส่วนที่ว่าจะทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะนั้น คือทุกอย่างในประเทศนี้อะไรที่เป็นไปไม่ได้ ก็เป็นไปได้แล้วหลายครั้ง เพียงแต่ว่า ณ ขณะนี้ผมยังไม่ได้เห็นช่องทางนี้ว่าทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ เพียงแต่ว่าเรื่องการเลือกตั้งใหม่ นักการเมืองเขาก็ไม่อยากจะเลือกตั้งใหม่เพราะกลัวไม่ได้กลับมา เราเองก็เห็นว่าการดั้นไปข้างหน้ามันยิ่งจะสร้างความเสียหายเหมือนบางประเทศที่ต้องใช้เสียงเลือกตั้งเกินครึ่ง โหวตครั้งแรกเสียงไม่ถึงครึ่งก็โหวตครั้งที่ 2 ครั้งที่ 2 ไม่ถึงครึ่งก็โหวตครั้งที่ 3 วันนี้เนื่องจากในซีก แต่ละพรรคการเมืองต่างประกาศจุดยืนว่าจะจับมือกับใคร ไม่จับมือกับใคร แล้วก็ประกาศยุทธการอย่างไร ครั้งหน้าก็อย่าไปเที่ยวประกาศอีก บอกกับประชาชนอย่างพรรคเพื่อไทยก็บอกว่าจะต้องการสลายขั้วแปลว่าก็ไม่ต้องประสงค์ใช้พี่น้องเสื้อแดงแล้วก็เอาเหตุผลนี้นำมาใช้ในการหาเสียง แล้วก็บอกว่าแลนด์สไลด์ ถ้าไม่แลนด์สไลด์ก็ไม่ปิดสวิตช์สว. ไม่ปิดสวิตช์ 3 ป. แล้วก็บอกว่าไล่หนูตีงูเห่า ก็เป็นเพียงแค่การรณรงค์เพื่อให้ได้คะแนนเสียงเท่านั้น คือไปบอกกับประชาชนใหม่กันได้ หมายความว่าต้องไปแต่งตัวกันใหม่ซึ่งพรรคเพื่อไทยก็แต่งตัวใหม่กันทุกวันอยู่แล้ว

-แต่คุณจตุพรมองว่าการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นไม่ว่าจะเกิดขึ้นเร็วหรืออาจจะไม่แน่ว่าอาจจะ 4 ปีข้างหน้า การเมืองไทยจะไม่เหมือนเดิมในมุมมองของคุณจตุพร คำถามสุดท้าย จะเป็นอย่างไร การเมืองจะเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน

ผมเชื่อว่า ถ้ายังดึงดันกันอยู่ เราจะได้รัฐบาลที่ไร้ซึ่งเสถียรภาพ ไร้ซึ่งการยอมรับนับถือ ไร้ซึ่งความชอบธรรมและก็ไม่มีทางจะแก้ไขปัญหาต่างๆได้ เพราะคนที่ไม่มีความชอบธรรม ไม่น่าเชื่อถือ ล้มละลายทางความเชื่อของประชาชนไปแล้ว คุณอย่าไปแก้ไข อย่าไปคิดแก้ไขปัญหาของประเทศ คิดแก้ไขปัญหาตัวของคุณเองก็ยากแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือสมการข้างหน้า

ผมมีความหวั่นเกรงว่าท้ายที่สุดเราจะกลับไปสู่บรรยากาศแบบ 22 พฤษภาคมปี 57 กันอีกรอบเพราะฉะนั้นวันนี้อยากให้บรรดานักการเมืองทั้งหลายนักเลือกตั้งทั้งหลายคิดถึงชาติบ้านเมืองคิดถึงคำว่าประชาธิปไตย คิดถึงคำว่าประชาชนให้มากกว่าตัวเอง ผมเชื่อว่ามันมีทางออกที่ดีที่สุดและไม่มีทางออกไหนดีที่สุดเท่ากับคืนอำนาจให้กับประชาชน

เพียงแต่ว่าสูตรนี้ บรรดานักการเมืองไม่มีใครอยากทำเลย เพราะเขาได้รับการเลือกตั้งกันมาแล้ว เป็นผู้แทนราษฎรแล้ว กำลังจะได้จัดตั้งรัฐบาลกันแล้ว แต่เราเองก็เห็นปลายทางว่ามันไปไม่ได้

ผมมองอย่างคนที่ไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องทางการเมืองใดๆ ผมเองเห็นว่ามันมีวิกฤติ และไม่รู้ว่าจะได้เลือกตั้งใหม่อีกทีถ้ามันเกิดวิกฤติ หรือมีสถานการณ์อย่างที่ได้ว่ากันนี้เราจะได้เลือกตั้งกันเมื่อไหร่ และเลือกตั้งก็ต้องจบลงกันแบบนี้กันอีกหรือไม่เพราะฉะนั้นประเทศไทยเราผ่านกันมาแล้วทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าเรื่องความหนักเบาบางเรื่อง เรื่องพฤติกรรมของคนเฉพาะตัว เราอาจจะเห็นเป็นครั้งแรก เพราะฉะนั้นจงเลือกหนทางที่จะนำพาเพื่อผลประโยชน์ชาติอย่างแท้จริงนี่จะเป็นทางออกเดียวของประเทศไทยในขณะนี้