วันที่18 สิงหาคม 2566 นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ได้อัดคลิปเปิดใจ ความยาวกว่า 7 นาที ผ่านเฟซบุคส่วนตัว เศรษฐา ทวีสิน - Srettha Thavisin โดยระบุตอนหนึ่งว่า ในการทำธุรกิจของตนเป็นที่รับทราบและของสังคมมาโดยตลอด วันนี้ตนออกมาพูดในฐานะที่เป็นผู้บริหารแสนสิริและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย บริษัทแสนสิริผ่านพ้นวิกฤติมาหลากหลายรูปแบบ ทีมงานทุกคนบริหารงานอย่างโปร่งใส ตามรูปแบบของคณะกรรมการ ตามข้อบังคับของบริษัทและตลาดหลักทรัพย์ ทำงานตามหลักธรรมาภิบาล แสนสิริเติบโตในวงการอสังหาริมทรัพย์อย่างมั่นคงและแข็งแรง ไม่เคยถูกตั้งข้อกล่าวหา หรือแม้กระทั่งตั้งคำถามถึงความโปร่งใสในการทำงานหรือการประกอบการของบริษัท แต่อย่างใด
การที่ออกมาในวันนี้เพื่อให้ข้อเท็จจริงและตอบคำถามเรื่องของแสนสิริและเรื่องนอมินี ในขณะที่ตนเป็นผู้บริหารในอดีตจนถึงปัจจุบัน การซื้อขายที่ดิน เราซื้อขายเพื่อประกอบการด้วยความถูกต้องตามกฎหมายในทุกขั้นตอน ไม่เคยมีวิธีการนอกระบบกฎหมาย เพื่อเบียดบังผลประโยชน์ของรัฐหรือแสวงหาผลประโยขน์ส่วนตัว จึงขอปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองนำมากล่าวอ้าง ซึ่งเป็นข้อมูลอันเป็นเท็จ บิดเบือนให้เกิดความเสียหาย ในทุกเอพพิโซดที่นายชูวิทย์ นำมาบิดเบือน สร้างกระแสนั้น ไม่ว่าจะเป็นที่ดินแปลงสารสินหรือที่ดินซอยทองหล่อ เป็นเรื่องแบบเดียวกัน นายชูวิทย์ ต้องยอมรับว่าแสนสิริในฐานะผู้ซื้อทำธุรกรรมกับผู้ขายรายต่างๆ โดยชำระค่าที่ดินตามราคาตลาดที่สมเหตุสมผล สัญญาซื้อขายเป็นสัญญาต่างตอบแทน ผู้ซื้อและผู้ขายมีหน้าที่ต้องชำระหนี้ซึ่งกันและกัน รวมทั้งหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายกำหนด บริษัท แสนสิริ คือผู้ซื้อซึ่งไม่สามารถที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกระบวนการบริหารภายในของฝ่ายผู้ขายได้ในทุกขั้นตอน ฝั่งผู้ซื้อไม่มีนอมินี ไม่มีการปล่อยกู้ให้ผู้ขาย
นายเศรษฐาระบุอีกว่า ความจริงเป็นการจดจำนองเพื่อเป็นประกันการปฏิบัติตามสัญญาและห้ามผิดสัญญาของบริษัทผู้ขาย และประกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นเป็นจำนวนเงิน 1,000 ล้านบาท มีหลักฐานชัดเจน ยืนยันไม่มีการทำสัญญากู้ อีกทั้งไม่มีการสมคบคิดใดๆ และไม่เคยมีเงินทอนใดๆ กลับมาที่ตน หรือพนักงานแสนสิริคนไหนทั้งสิ้น
นายเศรษฐาระบุต่อว่า สำหรับแปลงโครงการคุณ บาย ยู (KHUN by YOO) มูลค่าที่ดินราคา 1,100,000 บาทต่อตารางวา เป็นราคาที่ถือว่าดีมาก ราคานี้ไม่มีเงินทอนให้ใคร ขอย้ำอีกครั้งว่านายชูวิทย์ต้องแยก ผู้ขาย กับ ผู้ซื้อให้ได้ อย่าบิดเบือน และแสนสิริไม่มีนอมินีแน่นอน หลังจากนี้หากจะพูดเรื่องที่ดินอีกกี่แปลงก็ได้ แต่ต้องแยกผู้ขายกับผู้ซื้อให้ชัดเจน และต้องใช้ความจริงที่ไม่บิดเบือน
“ คุณโกรธเคืองที่บริษัทไม่ซื้อที่ดินคุณที่ซอยสุขุมวิท 24 เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว เราตกลงกันจากราคา 2,000 ล้าน เหลือ 1,800 ล้าน แต่ที่ดินคุณมีเงื่อนไขติดพันกับบริษัท ไรมอนแลนด์ แสนสิริจึงไม่สามารถซื้อที่ดินที่มีนิติกรรมซ้อนได้ คุณไม่พอใจ แต่เพราะเงื่อนไขของที่ดินคุณเอง แสนสิริเป็นบริษัทมหาชน ผมทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมายทั้งหมด 100% และไม่มีอะไรที่ผิดกฎหมาย รวมถึงไม่ผิดจริยธรรมใดๆ” นายเศรษฐา กล่าว
นายเศรษฐากล่าวต่อว่า ผ่านมา 10 เดือน ตั้งแต่กันยายนปีที่แล้ว จนมาถึงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ในวันที่พรรค พท.เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หลังจากที่ข่าวออกเรื่องมติพรรคเสนอชื่อตนในสภาเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ตนโดนข่มขู่ นายชูวิทย์ฝากข้อความผ่านคนใกล้ชิดมาสั่งให้ตนมัดจำเงินเพื่อซื้อที่ดิน และทำเอ็มโอยูแบบไม่มีเงื่อนไขในการซื้อขายที่ดิน ตนไม่ได้ทำอะไรผิด นายชูวิทย์ไม่มีสิทธิมาข่มขู่ตน นอกจากนี้ ยังมีการติดต่อผู้ใหญ่มากมายให้มาบอกตนว่าจะแฉ และทำทุกอย่างเพื่อให้ตนไม่เหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ถ้าให้ไม่แฉ ตนต้องตกลงซื้อที่ดินราคา 2,000 ล้านทันทีแบบไม่มีเงื่อนไข ไม่งั้นจะเดินหน้าดิสเครดิตและด้อยค่าตนต่อไป
นายเศรษฐากล่าวว่า นายชูวิทย์บิดเบือนไปถึง เรื่องดิจิทัลวอลเล็ต ทำให้ประชาชนเข้าใจว่านโยบายนี้จะเป็นการฟอกเงินผ่านทางคอยน์ (coin) เลอะเทอะไปหมด ขอให้นายชูวิทย์อย่าได้เอาเรื่องนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตของพรรค พท.มาโจมตีอย่างไม่มีหลักการ โครงการนี้เป็นโครงการที่ดี มีผลประโยชน์ต่อประเทศอย่างมาก สามารถช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้เป็นจำนวนมากกว่า 50 ล้านคน และเป็นนโยบายสำคัญที่สุดอันหนึ่งที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจทันที ทำให้ประเทศนั้นสามารถพลิกฟื้นกลับมาอีกครั้ง และงบประมาณทั้งหมดจะถูกส่งตรงไปยังประชาชนทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป
นายเศรษฐา กล่าวว่า การที่ตนพูดความจริงในครั้งนี้ รู้ว่านายชูวิทย์ต้องไม่พอใจและอาจจะไปฟ้องศาล ซึ่งตนก็พร้อมที่จะนำพยานหลักฐานไปสู้คดีกับนายชูวิทย์ในศาลต่อไป
" ชีวิตผมตรวจสอบได้หมดทุกอย่าง ลูกผมมีงานที่ดีทำทุกคน ผมไม่มีอะไรต้องห่วง ทุกคนเตือนผมว่าอย่าลงการเมือง มันเปลืองตัว ผมขอบคุณในความหวังดีของทุกคน แต่วันนี้ผมตัดสินใจเอง ผมเข้ามาตรงนี้เพราะอยากทำให้ประเทศชาติและเศรษฐกิจให้ดีขึ้น เพิ่มรายได้ให้ประเทศ ให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
จากวันแรกที่ผมตัดสินใจจะทำจนถึงวันนี้ ผมมั่นใจที่จะทำเพื่อประเทศชาติเหมือนเดิม และย้ำอีกครั้งว่าศัตรูของผมคือความยากจน และความไม่เสมอภาคของประชาชน เป้าหมายของผมคือความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนไทยทุกคน” นายเศรษฐา กล่าว