เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 17 ส.ค. 66 ที่รัฐสภา นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กทม. พรรคก้าวไกลให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา และประธานผู้แทนราษฏร ออกมาระบุว่า แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีไม่ต้องแสดงวิสัยทัศน์ในการประชุมรัฐสภาเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีได้ ว่า แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี คือบุคคลที่จะมาทำงานให้ประชาชนในอีก 4 ปีข้างหน้า เพราะฉะนั้น ทิศทางในการทำงานเป็นอย่างไร ก็ควรให้ผู้แทนของพี่น้องประชาชนส่งมาทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎรได้สอบถาม ซึ่งที่ผ่านมาการโหวตนายกรัฐมนตรีครั้งแรก เราก็ได้มีการซักถามเป็นวงกว้างว่านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล มีแนวคิดแนวปฏิบัติอย่างไร และจะดำเนินงานในการเป็นนายกรัฐมนตรีอีก 4 ปีข้างหน้าอย่างไร แน่นอนว่าครั้งนี้คือการโหวตนายกรัฐมนตรีครั้งที่สอง จะเป็นใครก็สุดแท้แต่พรรคเพื่อไทย

“ถ้าเกิดมีเพื่อนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือเพื่อนวุฒิสภาจะสอบถามในสภา ก็สามารถเข้ามาชี้แจงได้ ประธานสภามีอำนาจในการเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาชี้แจงโดยใช้บัลลังก์” นายณัฐชา กล่าว

เมื่อถามว่าพรรคก้าวไกลเตรียมอภิปรายคุณสมบัติของนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายณัฐชา กล่าวว่า ในคุณสมบัติเราไม่ได้มีการสอบถาม ที่ผ่านมาได้ผ่านการเลือกตั้ง ผ่านพี่น้องประชาชนมาแล้ว ประชาชนได้ตัดสินใจ จากการหาเสียงตลอดระยะเวลาที่ลงเลือกตั้งไปแล้ว

ในส่วนของประเด็นข้อซักถามต่างๆ อาจจะไม่ได้ ซึ่งนายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค ได้นำเสนอกับสื่อมวลชนไปแล้วว่า ในที่ประชุมพรรคของเรา มีความเห็นจะไม่โหวตสนับสนุนนายเศรษฐา เนื่องจากความคลุมเครือในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่ง ณ วันนี้ เป็นวันที่ 17 ส.ค. แล้ว ก็ยังไม่เห็นหน้าค่าตารัฐบาลใหม่ ว่าจะเป็นอย่างไร

เมื่อถามว่า พรรคก้าวไกลจะตัดสินใจงดออกเสียงหรือไม่เห็นชอบช่วงวันไหน นายณัฐชา กล่าวว่า เราเปิดโอกาส วันนี้พรรคจัดตั้งรัฐบาลอาจจะบอกว่าชุลมุนอยู่กำลังรวมเสียง ก็ยังไม่สามารถมองหน้าตารัฐบาลใหม่ได้ ยังไม่สามารถที่จะหน้าตารัฐบาลใหม่ได้ว่าเป็นใคร เราก็ให้โอกาสจนถึงนาทีสุดท้ายของวันที่ 21 ส.ค. เลย ว่าสุดท้ายแล้ว จะประกาศความชัดเจนออกมาหรือไม่ ในส่วนของงดออกเสียงหรือไม่เห็นด้วยก็จะไปอยู่ในวันนั้น แต่ถ้าไม่เห็นความชัดเจนใดๆก็คงต้องโหวตไม่เห็นชอบ

เมื่อถามว่า นายเศรษฐาดีกว่าพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ นายณัฐชา กล่าวว่าแน่นอนว่าที่เราหาเสียงเลือกตั้งมา ความจริงแล้วพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกล มีนโยบายหลายด้านที่ใกล้เคียงกันแต่ความประสงค์ของประชาชนภายหลังการเลือกตั้ง ที่ต้องการให้พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกลร่วมกันจับมือในการจัดตั้งรัฐบาล

“ไม่มีแนวทางความเป็นไปได้ที่เราจะไม่สนับสนุน แคนดิเดตของพรรคพลังประชารัฐ หรือเห็นว่านายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐดีกว่า เพราะช่วงหาเสียงที่ผ่านมาเราได้พูดคุยกับพี่น้องประชาชนว่า สิ่งที่เราไม่เห็นด้วย สิ่งที่เราเห็นต่างกับพรรคพลังประชารัฐ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของเขาคือ พล.อ.ประวิตร ที่เราไม่เห็นด้วยมีเหตุผลอะไรบ้าง เราก็บอกกับพี่น้องประชาชนไปแล้ว และประชาชนก็ได้ตัดสินใจแล้ว” นายณัฐชา กล่าว 

เมื่อถามถึงกรณีที่นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล จะเสนอญัตติให้สภาทบทวนญัตติว่าสามารถเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ซ้ำ จะเกิดเหตุการณ์ซ้ำกับวันที่ 19 ก.ค. หรือไม่ นายณัฐชา กล่าวว่า แน่นอนว่าเรื่องของข้อบังคับข้อที่ 29 เราผูกโดยสภา มีปัญหาโดยสภา แล้วทางหน่วยงานภายนอกต่างๆที่มาตัดสิน เราก็ไม่เห็นด้วย เพราะนิติบัญญัติควรต้องใช้สภา เมื่อสภาผูกสภาก็ต้องเป็นคนแก้ ดังนั้น เรามองว่าวันนั้น ในการตัดสินโหวตไปหลังจากลงมติแล้วมีนักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัยต่างๆ วิตกกังวลเรื่องของข้อกฎหมายที่สภาลงมติไป ขณะที่องค์กรภายนอกออกมาให้ความเห็นในทางที่ไม่ถูกไม่ควร ดังนั้นเราจึงอยากหยิบยกเรื่องราวต่างๆที่สภาผูกเอาไว้แล้วก็แก้โดยสภา โดยการทบทวนญัตติที่ลงมติไปแล้ว

ส่วนกระบวนการที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น ในการทบทวนเรื่องนี้เป็นเพราะเหตุใด นายณัฐชา กล่าวว่า ก็อาจจะเป็นเพราะว่าหากเรื่องนี้มีการทบทวนใหม่ลงความเห็นว่าไม่เห็นด้วย และกลับมาเสนอซ้ำได้ ก็อาจจะเกรงว่าแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกลจะได้กลับมาโหวตอีกครั้ง ซึ่งเรื่องนี้ก็มีความพยายามเป็นเกมการเมืองอย่างแน่นอน แต่ความถูกต้องยังต้องคงอยู่คู่สภา สภาไม่ควรทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

เมื่อถามว่า คาดหวังการทำหน้าที่อย่างไรกับประธานรัฐสภา นายณัฐชา กล่าวว่า ครั้งที่แล้วก็ต้องเคารพในการตัดสินใจของประธานรัฐสภา ซึ่งก็เป็นอำนาจตามข้อบังคับของประธานรัฐสภาในข้อที่ 22 ส่วนในครั้งนี้เราก็อยากจะขอความเห็นใจว่า สภาผู้แทนราษฎร และรัฐสภาเองที่มีการลงมติ อย่างหนึ่งอย่างใดไปแล้ว มันผูกพัน มันบันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์ว่าการทำหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร ของตัวแทนพี่น้องประชาชนทำในสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ เพราะฉะนั้นการจดจำตรงนี้ของพี่น้องประชาชน จะบันทึกว่าคุณทำในสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่

เมื่อถามว่า มองอย่างไรกับการที่มีคนมองว่า พรรคก้าวไกลไม่โหวตให้พรรคเพื่อไทย ผิดกับคำพูดที่บอกว่าจะช่วยปิดสวิตช์ สว. นายณัฐชา กล่าวว่า ตนคิดว่า วาทกรรมการบอกว่าก้าวไกลต้องโหวตให้เพื่อไทย เพื่อปิดสวิตช์ สว. นั้น มันไม่ใช่ ก็ตอนนี้สว. กำลังใช้กลไกของเขาในการไม่โหวตให้ เสียงสนับสนุนที่เป็นมติของประชาชน การปิดสวิตช์ สว. นั้น คือให้ สว.ไม่มีความหมาย ในการโหวตนายกรัฐมนตรี คือการใช้สิทธิ์ของสภาล่างอย่างเดียว 

“ตอนนี้ที่เราพูดกัน 312 เสียง เป็นเสียงข้างมากของ 500 เสียงในสภาผู้แทนราษฎร เพราะฉะนั้นในการปิดสวิตช์ สว. คือการให้เสียงของ สส. มีอำนาจมากกว่า แต่ตอนนี้ สว.ได้ประสบความสำเร็จแล้ว ในการไม่โหวตให้แคนดิเดตที่มาจากพรรคอันดับหนึ่ง เป็นการบีบโดยการ บอกว่าจะไม่โหวตให้พรรคโน้นพรรคนี้ แล้วบอกว่าให้พรรคการเมืองต้องกลัว สว. โดยไปโหวตให้แล้วบอกว่า นี่คือการปิดสวิตช์ สว. ผมคิดว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้องเป็นการบีบทางอ้อมและเป็นการร่วมกันปิดสวิตช์พรรคก้าวไกลมากกว่า” นายณัฐชา กล่าว

เมื่อถามย้ำว่า จะไม่กลายเป็นการให้พรรคเพื่อไทยจับมือกับ 2 ลุงโดยชอบธรรม เพราะเขาหาเสียงไม่ได้แล้ว นายณัฐชา กล่าวว่า ความชอบธรรมที่สุด คือการจับมือ 312 เสียง คือความชอบธรรมที่สุด และเป็นความต้องการของพี่น้องประชาชนที่สุด และเป็นเรื่องที่พึงกระทำได้ดีที่สุด ด้วยการจับมือ 312 เสียง เนื่องจากเป็นเสียงที่มาจากพี่น้องประชาชนต้องการ เป็นฟากฝ่ายที่พี่น้องประชาชนต้องการให้บริหารบริหารราชการแผ่นดิน

“ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าความต้องการของพี่น้องประชาชนในวันนี้ เลือกมาอย่างถล่มทลาย เลือกฝั่ง 312 เสียง แต่ 312 เสียงไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ก็เพราะว่ามีเสียงอื่นๆ มาแทรกแซง คือเสียงของ สว. และพยายามกดดันให้ความเห็นต่างๆนานา พยายามตีไปกลับ 312 เสียงแตกออกจากกัน เพราะฉะนั้นวันนี้เขาทำสำเร็จแล้ว” นายณัฐชา กล่าว

“ขั้นแรกคือตี 312 เสียงออกจากกัน การรวมเสียงใหม่ ก็แล้วแต่พรรคแกนนำในขณะนั้นที่จะตัดสินใจ เขาจะตัดสินใจจับมือกันเหนียวแน่น 312 เสียง และไปหาเสียงเพิ่มเติมก็สามารถทำได้ ส่วนเขาจะตัดสินใจไม่จับมือกัน 312 เสียงและไปเอาอีกฟากฝ่ายหนึ่งก็สามารถทำได้ แต่ว่าไม่ตรงกับแนวความคิดของพรรคก้าวไกล” นายณัฐชา กล่าวต่อ

นายณัฐชา ย้ำว่า หากมีช่องทางมาสนับสนุนนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีได้พรรคก้าวไกลก็จะทำ เพราะเป็นสิ่งที่ได้รับมอบหมายจากประชาชน วันนี้ 151 เสียงของพรรคก้าวไกลก็ยังยืนหยัดที่อยากจะต่อสู้เพื่อเพื่อความต้องการของพี่น้องประชาชน แต่เนื่องจากเราไม่สามารถทำได้ เพราะเราไม่มีเสียงสนับสนุน

ดังนั้น ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ให้พี่น้องประชาชนเห็นว่าการเลือกตั้งสำคัญ และการตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง หรือการตัดสินใจเลือกใครเข้ามาทำหน้าที่เป็นตัวแทนของเรานั้นต้อง สังเกตดีๆ 

“ในการโหวตครั้งนี้ สามารถตอบโจทย์ความต้องการของท่านได้หรือไม่ สามารถเข้ามาทำหน้าที่ในสภาและทำหน้าที่โหวตนายกรัฐมนตรีแทนท่านได้หรือไม่ สส. อยากทุกพรรคการเมืองในวันนี้พี่น้องประชาชน รวมออกมากดดันอยากให้เรื่องเปกติของระบอบประชาธิปไตย คือภาพที่ได้เสียงดับหนึ่งได้เป็นนายกรัฐมนตรี เราต้องพูดเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็เพราะว่ามันเกิดความไม่ปกติในสังคม มีคนพยายามบิดเบือนมีคนพยายามพูดว่าหากรวมเสียงกัน ฟากฝ่ายหนึ่งชนะ ก็สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้” นายณัฐชา กล่าว