จากกรณีที่ ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2566 โดยสาระสำคัญคือ ปรับเปลี่ยนคุณสมบัติของผู้มีสิทธิจะได้รับเงินเบี้ยยังชีพ จากไม่เป็นผู้ได้รับสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์อื่นใดจากหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มาเป็นผู้ไม่มีรายได้หรือมีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพตามที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) ตามกฎหมายว่าด้วยผู้สูงอายุกำหนด
ล่าสุด วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Wiroj Lakkhanaadisorn - วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ระบุว่า...
[ ที่ผ่านมา อำนาจศักดินาอนุรักษ์นิยม จ้องแต่จะกดคนให้จน และพยายามที่จะตัดเบี้ยผู้สูงอายุ มาโดยตลอด ]
จากหลักเกณฑ์การจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุ ที่เพิ่งจะลักไก่ออกมา เมื่อวันที่ 12 ส.ค. 2566 ที่เปลี่ยนหลักเกณฑ์การจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุจากถ้วนหน้า เป็นแบบบังคับให้ผู้สูงอายุต้องพิสูจน์ความจน
นี่ไม่ใช่ความพยายามในการตัดเบี้ยผู้สูงอายุเป็นครั้งแรก ของฝ่ายอำนาจศักดินาอนุรักษ์นิยมนะครับ เพราะถ้าย้อนไปเมื่อปี 2564 กับกรณียายทวดแสง อายุ 99 ปี และยายบวน อายุ 89 ปี ที่ถูกเรียกคืนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ โดยอ้างว่าเป็นการรับเงินซ้ำซ้อน จากเงินบำนาญจากกรณีที่บุตร และสามีที่รับราชการแล้วเสียชีวิต (ทั้งๆ ที่ หลักเกณฑ์ ปี 2552 ข้อที่ 17 ในบทเฉพาะกาล ก็กำกับไว้ว่าไม่กระทบกับผู้สูงอายุที่ลงทะเบียนไว้ก่อน ก็ยังจะมาฟ้องร้องประชาชนอีก)
การเรียกเงินคืนในครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับคุณยายแค่ 2 ท่านเท่านั้น แต่มีผู้สูงอายุได้รับผลกระทบเป็นหมื่นราย
ซึ่งการเรียกคืนดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ขัดกับ มาตรา 12 ของ พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ ที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า "เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่ได้จาก พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ จะไม่เป็นการตัดสิทธิ และสวัสดิการที่ผู้สูงอายุได้รับจากกฎหมายอื่น"
จนประชาชนต้องมาฟ้องร้องต่อศาลปกครอง พอรัฐบาลรู้ว่าแพ้คดีแน่ๆ ในที่สุด ครม. จึงยอมมีมติให้ถอนฟ้องประชาชน และคืนเบี้ยยังชีพให้แก่ผู้สูงอายุจำนวน 28,345 ราย วงเงิน 245 ล้านบาท ถ้าประชาชนไม่รวมตัวกันสู้ มีหรือที่มันจะยอม
ก็ต้องตั้งคำถามว่า ทำไมไม่ไปตัดงบซื้อเรือดำน้ำ ซื้อเครื่องบินรบ F-35 รวมทั้ง อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ที่อธิบายไม่ได้ว่ามันทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้นได้อย่างไร ทุกปีมีแต่จะสอดไส้ ขอซื้ออาวุธเอาเงินทอนไม่รู้จักหยุดจักหย่อน แต่กลับสวัสดิการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ที่เป็นความจำเป็นในการดูแลชีวิตประชาชนที่เขาทำงานเสียภาษีมาทั้งชีวิต กลับจ้องที่จะตัดอยู่นั่น
ก่อนจะตัดเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ผมว่าไปบอกให้ พล.อ.ประยุทธ์ ออกจากบ้านพักหลวง ก่อนไม่ดีกว่าหรือครับ
ทั้ง 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนได้ชัดว่า ฝ่ายศักดินาอนุรักษ์นิยม จ้องแต่จะกดประชาชนให้จน และพยายามที่จะตัดเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุมาโดยตลอก คนจำพวกนี้ไม่ต้องการเห็นประชาชนมีชีวิตมั่นคง เพราะเขารู้ว่าถ้าประชาชนมีความมั่นคงในชีวิตเพิ่มขึ้น ประชาชนจะมีความตื่นรู้ทางการเมือง และจะไม่ยอมให้ทุนผูกขาด อำนาจศักดินา และเครือข่ายอุปถัมภ์กดขี่อีกต่อไป
สิ่งที่ฝ่ายศักดินาอำนาจนิยมต้องการเห็นก็คือ ระบบสงเคราะห์ ที่คนจนคนยากต้องมากราบกรานขอความเมตตา เพื่อขอให้พวกเขาโยนเศษเงินบริจาคมาให้ แล้วคนพวกนี้ก็จะเอาการบริจาคมาใช้ยกตัวเองให้เป็นคนดีย์ และยืนค้ำหัวทวงบุญคุณประชาชนได้จนชั่วลูกชั่วหลาน อย่างที่กลอนบทหนึ่งเคยว่าเอาไว้
บีบให้จน แล้วแจก
กดให้โง่ แล้วปกครอง
ปล่อยให้ป่วย แล้วรักษา
ใช้ภาษีที่รีดมา สร้างบุญคุณ
ผม และพรรคก้าวไกล ในฐานะลูกหลาน จะไม่มีวันยอมให้พวกมันมาแตะต้องผลประโยชน์อันพึงได้ของคุณตาคุณยายแน่ๆ พวกเราจะพยายามปกป้องเบี้ยผู้สูงอายุของประชาชน อย่างสุดความสามารถครับ