ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
“เราต่างมีชีวิตอยู่..ในโลกที่ว่ายวนอยู่กับความรัก..แม้กาลเวลาจะล่วงผ่านไปยาวนานสักเพียงใด..ความสั่นไหวแห่งทรงจำของหัวใจ ก็ไม่มีวันสิ้นสุด..มันยังคงสะพรั่งบานอยู่ในความรู้สึกที่ลึกเร้น ...อาจเปลี่ยวเหงาระทมเศร้า..อยู่กับภาวการณ์ของความปวดร้าว..หรืออาจจะตกอยู่กับท่วงทำนองที่เหยียดหยันแห่งการเย้ยเยาะ..ระคนกัน..นั่นคือมายารมณ์แห่งจิตวิญญาณที่ติดตรึง อยู่กับนัยแห่งความเป็นตัวตนอยู่เสมอ..ไม่ว่าจะเป็น “รักหรือใคร่”..ทุกสิ่งคือ... “ตราประทับอันมิอาจลบเลือนไปจากชีวิตของชีวิต”...แม้เมื่อใด!”
“ความทรงจำแห่งรักใคร่” (Memoir of Love and Passion)...กวีนิพนธ์แห่งการเปิดเปลือยอารมณ์ความรู้สึก ที่งดงาม...และ มีความหมายต่อ..ภาพสะท้อนแห่งภาพสะท้อนของ “ความตระหนักในรัก”....ที่น่าสืบค้น และ น่ารับฟังยิ่ง...มันคือเสียงเพรียกหาตะวันฉาย...ในยามที่หัวใจมีเส้นแสงที่กำลังหลุบหลู่..หรือ..หยาบกระด้าง..
...ขณะที่..มันอาจเป็นรัศมีจันทร์..ที่โอบประคองความอ่อนโยนและละเมียดละไมของ...ความรัก
“เธอจะไม่มีวันชอบมันหรอก/บทกวีของฉัน/...กลั่นออกมาจากหยาดเลือด/เธอว่ามันฟูมฟายเกินไป/จมดิ่งเกินไป/เรียกร้องเกินไป/ครอบครองเกินไป/รัดแน่นเกินไป/เธอกระดิกกระเดี้ยไม่ได้/...เธอหายใจไม่ออก...”
เราต่างเป็น “คนแปลกหน้า” ต่อกันในทุกโมงยาม..แม้แต่ในห้วงขณะรัก เราก็มักจะประหัตประหารกันทางความรู้สึก..ด้วยอารมณ์ที่เอาแต่จะแว้งทำลายในกันและกันอย่างไร้สติ..ทั้งนี้อาจเนื่องเพราะ..เราต่างเอาแต่ใจและคิดเข้าข้างตนเองมากเกินไป..จนมิอาจอำพราง “สงครามแห่งความยึดมั่นถือมั่น”..ภายในตัวตนได้..
“ใช่แล้ว..ถ้อยคำเป็นเพียงการอำพราง/และที่กำลังของศัสตราวุธ/ในขณะที่ความรัก/...แท้จริงก็คือสงคราม”...การเปรียบเปรยรอยบาดเจ็บของความรักอันเนื่องมาแต่เหตุแห่ง ภาวะของความรัก ที่เป็นดั่งความตายของจิตอันพะวักพะวงนี้..กวี “แม่น้ำ เรลลี่” ในฐานะผู้อยู่ท่ามกลาง..นัยสำนึก..ได้แสดงอาการแห่งปรากฏการณ์ของความ...รู้สึกรักอันแปรปรวนและดิ่งลึกออกมา...เหนือจินตนาการที่แรงเร้า..มันคือลมหายใจที่ติดขัดของกวี
“..จินตนาการ..ที่ไม่มีวันที่เป็นจริง../ร่วมรัก! จนดวงดาวระเบิด/ตายไปในอ้อมแขน/และอ้อมขาของคุณ/...คุณ...ผู้เป็นที่รักยิ่ง..” ภาษาแห่งมวลสำนึก..ของ “แม่น้ำ” เดือดพล่าน และพุ่งพล่าน..ตัดผ่านอารมณ์แห่งอารมณ์ ที่อยู่เหนือการควบคุม มันคือแรงปะทะที่เกิดขึ้น..ดั่งเร้นซ่อนในซอกหลืบของการโหยหา.. “แม่นตรงในองศาของความรู้สึก" และ “ทะลุทะลวงในเมฆหมอกอันเป็นที่สุดแห่งกามรส”
“เลือดร่านในตัวฉัน..พร้อมเสมอ..สำหรับการดื่ม สนทนา ร้องเพลง เต้นรำ และ ร่วมรัก../ แต่..เด็กชายในตัวคุณ/ผู้ลุ่มหลงองคชาต/หมกมุ่นกับตัวเอง/หากเรียกร้อง และ ก้าวร้าวกับผู้อื่น/..ไม่ว่าคุณจะรู้ตัวหรือไม่นี่สิ!/ที่ทำให้ฉันลังเล/ บทวิพากษ์..สัญชาตญาณของความเป็นชายและชวนเป็นปริศนาเช่นนี้/..ถือเป็นการก้าวล่วงสู่แบบแผนของการเป็น “เพศสำนึก”..ที่จริงใจ..แท้จริง..ใครอยู่เหนือใคร?..และภาวะใดที่สมบูรณ์แบบ..กระทั่งมีเอกสิทธิ์ที่จะขึ้นไปอยู่เหนือ “เพศภาวะ” อันบริสุทธิ์แห่งโลกนี้กันแน่?..
“เมตตาฉันเถิด แต่อย่ารักฉันเลย/สวนสวรรค์ในเบื้องต้น/มักทอดทางสู่ขุมนรกในเบื้องปลาย/...กรุณาเฝ้ามองฉันอย่างเงียบไป/ปล่อยฉันให้จมอยู่กับความเจ็บปวด/อย่าได้กลายใกล้แม้แต่ปลายเล็บ/..เธอคิดถูกแล้ว/สัตว์ป่าที่กำลังเลียบาดแผลในตัวฉัน/อันตรายเกินไปต่อเธอ ผู้มีชีวิตอันดีงาม/ เอาเถอะ!...เธอจะนิยามฉันอย่างไรก็ได้../หญิงสาวฮิสทีเรีย ผู้ป่วยซึมเศร้า/ผู้หญิงวิปลาส ตุ๊กตาไม่สมประกอบ"
ฉากทัศน์..ในทางร้ายของผู้เป็น “ฮิสทีเรีย” ..ถูกนำมาระบายความคิด..เป็นการกะเทาะเปลือกอันแน่นหนาของหัวใจ...ให้คลายจางจากความเจ็บร้าว และ หม่นเศร้า..ในความเป็นหญิง..โลกวันนี้เหมือนจะพันธนาการพวกเธอไว้เพื่อบูชายัญ..ต่อบาปที่ที่เปื้อนใจ..สุดจะหลีกเลี่ยง..แม้โลกจะเปลี่ยนขั้วแห่งค่านิยมเชิงขอคติ..ไปสู่ “จิตทัศน์” ที่เข้าใจ หรือเปิดใจ..ต่อ “พฤติกรรมแห่งชะตากรรม” ของพวกเธอแล้วก็ตาม..มันคือโศกนาฏกรรมที่ต้องจำยอมและจำนน ของพวกเธอ..กระนั้นหรือ..?
“คือความป่วยไข้..ของยุคสมัยโพสต์ โพสต์ โมเดิร์น/ได้ยินว่า..หญิงสาวฮิสทีเรีย/ล่องเรือ เดินทางไกล/ตามหาแฟนซีของความรัก/เธอเหวี่ยงเบ็ดจำนวนหนึ่ง/ลงไปในมหาสมุทรแห่งชีวิต/ฟุ้งฝันถึงฝูงปลาสวยงาม/ ณ อาณาจักรก้นทะเล/แต่..สายลม สายน้ำ และ ระลอกคลื่น/ช่างอำมหิตกับเธอยิ่งนัก/พวกมันสมคบคิดกัน/พัดมาเพียงซากสาหร่ายเจ้าชู้/อย่าถามฉันนะ ว่าเขาคือใคร/
ถ้าคุณอยากรู้ จ้องกระจกดูสิ!" คำและความของกวีนิพนธ์..ของแม่น้ำ..เสียดลึกและสวยงาม..เป็นการกระตุ้นเร้าสำนึกคิดให้เรืองโรจน์สู่การคิดฝัน..แห่งประพันธกรรมที่ยากจะมองข้ามผ่าน..มันคือ “ภาษาใจ” ที่ซ่อนรอยน้ำตาไว้กับน้ำเสียงเย้ยเยาะของความเจ็บปวด..งดงามแต่ก็สั่นไหว..จนหัวใจต้องหมุนคว้าง..ดำดิ่งสู่หายนะทางจิตวิญญาณอย่างสุดระงับ..มันคือสัจจะที่ชวนหวั่นไหว..ระหว่าง..
“ผู้ชายแปลกหน้า/ตัวอักษรงดงาม/ฉัน..หญิงสาวไร้ศีลธรรม/..หวั่นไหว.." ที่สุดแล้ว..โครงสร้างใหญ่ในรสชาติแห่งความเป็นกวีนิพนธ์ และความเป็นสีสันที่ทั้งแผดจ้าและหม่นมัว ก็เผยร่างผ่านน้ำเสียงของความหมาย ที่ด่ำลึกอยู่กับใจที่ล้ำลึก..มันเป็นฐานรากที่เปลือยเจตนา...และความคิดฝันที่คลาคล่ำไปด้วยน้ำตาของเศษเถ้าอารมณ์..จริงแท้..แต่...อาจไร้ความหมายสำหรับ"คนที่เคยรัก"
“เปลือยหัวใจและจิตวิญญาณฉัน/ด้วยอักษรอ่อนหวาน สุขุม และ รุ่มร้อน ของคุณสิ!/เราจะ “สังวาส”กัน/ผ่านความสูงส่งของปรัชญา/และความสวยงามของกวีนิพนธ์/..เหมือนหนึ่งว่า.. “แม่น้ำ” จะมีน้ำตาเป็นอาวุธ เธอใช้มันเขียนรสชาติของชีวิต...ด้วยความจริงใจและหาญกล้า...ซ้ำแล้ว..ซ้ำเล่า..ดั่งเป็นบันทึกของสุสานแห่ง “สำนึกขบถ”
“ผู้หญิงขบถ!/จงอย่าแปลกใจ/ถ้าการเปิดเผย/การตรงไปตรงมา/ความจริงใจ/และความกล้าหาญของเธอ/จะไร้ความหมาย/สำหรับคนเคยรัก/ลีลาแห่งกวีนิพนธ์...นานา..ทั้งในสัดส่วน..ที่เป็นดั่งเสี้ยวความหมายของริ้วดอกไม้.หรือ..ดั่งเป็นแรงโหมกระพือพายุในคืนคลั่ง..ร่วม 200 บท..คือ..แรงเจียระไนแห่งประสบการณ์ ที่ควรค่าแก่การ..สดับรู้ด้วยใจ และยินเสียง ด้วยโสตประสาทของดาวประกายพฤกษ์..เฉกเช่นนั้น..
“บนดวงดาวเล็กไป..ที่ฉันพยายามเปล่งแสงด้วยตนเอง..เพื่อการมีชีวิตอยู่นี้/พระเจ้ารู้ดีว่า..เสียงสวดมนต์และการสารภาพบาป/ไม่อาจทำให้ฉันยินดีกับการปลดปล่อย/แทบจะไม่เหลืออะไรให้หวัง/ดาวประกายพฤกษ์ดวงนั้น/ริบหรี่และอับแสงไปนานแล้ว/ถ้าจะมีสิ่งเล็กๆ..ที่ฉันพอจะเรียกมันว่าความสุข/มันก็แค่ประกายดอกไม้ไฟ..หรือแสงวาววับจากผีพุ่งไต้.."
“ความทรงจำแห่งรักใคร่"...คือบทบันทึก “ประวัติศาสตร์ชีวิต” ในนามแห่งกวีนิพนธ์ ที่อิ่มเต็มไปด้วย ผัสสะ..มันอาจจะระคายเคืองความดีงามเชิงจารีตของผู้คนบางกลุ่มบางพวก..แต่ก็อาจเป็นบทแสดงแห่งการสอนสั่งชีวิต..ด้วยผัสสะของมายาคติที่ซ่อนเงื่อนซ่อนปม..อันยากจะตีความ..
“โลกมีมลทินและผุกร่อนมานานแล้ว/มด มอด แมง แมลง และ หนอน/ทั้งแทะ กัดกิน ชอนไชอยู่ทุกหนแห่ง/เราต่างมองเห็น.../แต่ความเห็นแก่ตัวเท่าๆกันกับความกลัว/ทำให้แสร้งแกล้งเหลือบตาไปที่อื่น/แสงสว่างนั้นมีมากเกินพอ/ฉายภาพคมชัดเจนไม่ต้องการคำอธิบาย_/แต่ในวัฒนธรรมอำนาจนิยม/มีข้อแก้ตัวให้กับความขี้ขลาดเสมอ/..ปล่อยคนหนุ่มสาวเหล่านั้นให้ตายไปเถอะ/..พวกเขารนหาที่เอง/”
ในแนวทางแห่งสร้างสรรค์งานแนว “กามิกศิลป์” Erotic Art ..ศิลปะที่แสดงถึงเพศรสในวิถีแห่ง “ความคิด จิตใจ และ อารมณ์” ..บางขณะเร่าร้อนไปด้วยความหมายของแรงปรารถนา บางขณะเดือดพล่านด้วยสำนึกคิดของผู้ถูกกระทำ..และ หลายๆขณะ ..มันคือ พลังกดทับที่ชีวิตทั้งต้องจำยอมและมิอาจจำยอม..ซึ่งทรรศนะอันผกผันเหล่านี้ “แม่น้ำ เรลลี่” ได้ประกาศตัวตนแห่งกวีนิพนธ์ของเธอออกมาได้อย่างแจ้งชัดและมีความประณีต “คุณเป็นกิเลสของฉัน/ฉันเป็นกิเลสของคุณ/ไม่บาปหรอกค่ะที่รัก!/เราเป็นเพียงกิเลสอันประณีต/ของกันและกัน..”
พระเจ้า..หรือพลังงานกันแน่นะ/ที่ทำให้โลกใบนี้หมุน../..และ อ่างอาบน้ำมีสีชมพู..นี่คือ..การเปิดเปลือยแห่งโลกศิลปะ..ในทาบเงาของ “กวีนิพนธ์” ..เป็นส่วนแห่งความพอใจในความงามของอารณ์และความรู้สึก..ที่ขับเน้นให้เห็นส่วนผสานที่สำคัญของชีวิต..ระหว่างรูปและนาม ไปพร้อมกัน..ทุกสิ่งเกิดขึ้นโดยปราศจากเงื่อนไข และการที่จะพบความงามในส่วนนี้ได้..ก็จักต้องหมายถึงว่า..มนุษย์ทุกคนต้องใช้ปัญญาหมั่นสังเกต เฝ้าดู และทำความรู้จักกับใจแห่งพฤติกรรมของตัวเองให้มากที่สุด..เท่านั้นเอง..
เนื่องเพราะ..ในความเป็นมนุษย์ เราย่อมหนีไม่พ้น..การกินอยู่ “หลับนอน” ..และการที่กลายเป็นปัจจัยสำคัญไปอีกประการหนึ่งด้วย..ก็คือ การมีเพศสัมพันธ์ ทั้งเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ เเละ เพื่อความพึงพอใจ..เฉพาะตน.. เหตุนี้..มนุษย์จึงต้องมีเพศสัมพันธ์ทั้งที่เป็นหน้าที่..และทั้งที่ใจปรารถนา..หลงใหล..และ เสพติด..มัน..!
“นับแต่วินาทีแรกที่สบตา/ฟุ้งฝันของวัยเยาว์/รบกวนวุฒิภาวะแห่งจิตใจฉัน/โอ..ที่รัก.!/ประณามฉันว่าแพศยา/ร้อนร่าน และ ไร้ยางอายเถิด/หากมิใช่บทกวีอีโรติก/..ฉันไร้วิธี...ที่จะบอกรักเธอ../”