สำหรับแผนการขยายเครือข่ายเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจโรงแรม ในต่างประเทศของเชนไทยอยู่ในระดับร้อนแรงและมีแนวโน้มที่จะกระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะสถานการณ์ในช่วงหลังโควิด ส่วนหนึ่งเพื่อกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจแทนที่จะยึดติดรายได้จากในไทยอย่างเดียว
ตอบโจทย์การเติบโตแบบก้าวกระโดด
โดย นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า AWC ได้เดินหน้าการลงทุนในธุรกิจโรงแรม พลาซ่า แอทธินี นิวยอร์ก มูลค่ารวม 7,789 ล้านบาท ที่รวมกรรมสิทธิ Freehold ในโรงแรม พลาซ่า แอทธินี นิวยอร์ก และอาคารทาวน์เฮาส์ และได้สิทธิเจ้าของแบรนด์พลาซ่า แอทธินี ในประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศไทย โดยไม่มีต้นทุนค่าใช้จ่าย
ทั้งนี้ AWC จะทำการเข้าซื้อหุ้นในกิจการโรงแรม พลาซ่า แอทธินี นิวยอร์ก จำนวนร้อยละ 18 ในมูลค่า 1,402 ล้านบาทก่อน และจะมีสิทธิในการเข้าซื้อหุ้นส่วนที่เหลือ (Call Option) อีกจำนวนร้อยละ 82 ภายในระยะเวลา 10 ปี ซึ่งเป็นการลงทุนที่ยืดหยุ่น ตอบโจทย์การเติบโตแบบก้าวกระโดดของ AWC เสมือนรูปแบบ AWC Growth Fund อีกทั้งยังไม่เกิดภาระต่องบดุลของทางบริษัทระหว่างการพัฒนา และสามารถจำกัดความเสี่ยงจากการลงทุนพัฒนาภายใต้สัดส่วนการลงทุนของบริษัท ควบคู่กับการรับกำไรจากการพัฒนาเต็มจำนวน และยังสามารถได้รับผลดีจากการเติบโตของมูลค่าแบรนด์พลาซ่า แอทธินี ที่เพิ่มขึ้นภายหลังการเปิดดำเนินงาน และสร้างรายได้เพิ่มกับโครงการอื่นๆ ในระยะยาว
ซึ่งการลงทุนครั้งนี้ของ AWC เป็นการสร้างคุณค่าร่วม ด้วยการเสริมโมเดลพอร์ตโฟลิโอของ AWC ผ่านการพัฒนาสองโรงแรมระดับไอคอนิก ได้แก่ โรงแรม พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา นิวยอร์ก และ โรงแรม เดอะ พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา แบงคอก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้น และศูนย์กลางเชื่อมต่อหลากหลายโครงการริมแม่น้ำเจ้าพระยาของ AWC ภายใต้แนวคิด River Journey Project สร้างประสบการณ์ระดับอัลตร้า ลักชูรี่ และจะเป็นมิติใหม่ของอุตสาหกรรมผ่านทรัพย์สินอันทรงคุณค่าทั้งสองแห่ง ในสองมหานครระดับโลก กรุงเทพฯ และนิวยอร์ก
อย่างไรก็ตาม นางวัลลภา กล่าวว่า การลงทุนในธุรกิจโรงแรมดังกล่าวจะช่วยเพิ่มฐานลูกค้าระดับอัลตร้า ลักชูรี่ พร้อมเสริมความแข็งแกร่งให้แบรนด์ของ AWC ให้เป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศ โดยการลงทุนในครั้งนี้จะส่งเสริมการเติบโตและสร้างคุณค่าระยะยาวให้กับ AWC อีกทั้งด้วยความเชี่ยวชาญของ AWC ในฐานะผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งเน้นสร้างคุณค่าเพิ่ม ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร รวมถึงประสบการณ์ที่ได้ร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรชั้นนำระดับโลกมากมาย ผสานกับจุดแข็งและความเชี่ยวชาญของแบรนด์โนบุ ที่จะมาร่วมพัฒนาโครงการระดับไอคอนิกทั้งสองแห่งนี้ น่าจะช่วยสร้างมิติใหม่ให้กับอุตสาหกรรมโรงแรมและการท่องเที่ยว พร้อมสนับสนุนการเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับอัลตร้า ลักชูรี่ได้อย่างแน่นอน
สร้างจุดขายเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเพิ่ม
ขณะที่ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ผู้นำด้านการบริหารงานโรงแรมและรีสอร์ตในไทย บริษัทในเครือ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ได้เตรียมเปิดให้บริการ “โซ/ มัลดีฟส์” รีสอร์ตแห่งที่ 3 ของ ครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์ เป็นจุดหมายปลายทางแห่งการพักผ่อนและไลฟ์สไตล์ครบวงจรที่สุดแห่งแรกในมัลดีฟส์ ในเดือนพฤศจิกายน 2566 นี้ ด้วยทุนกว่า 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งพัฒนาร่วมกับ Wai Eco World Developer (WEWD) กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจชั้นนำ โดยเป็นการเปิดตัว โซ/ โฮเต็ลแอนด์รีสอร์ท แบรนด์โรงแรมสุดล้ำในมัลดีฟส์เป็นครั้งแรก และรีสอร์ตแห่งนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของ Ennismore Collection ซึ่งเป็นกลุ่มแบรนด์ลักชัวรี่ไลฟ์สไตล์ระดับโลกที่ได้รับการยอมรับ และได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งใน สุดยอดบริษัทแห่งนวัตกรรม และเป็นส่วนหนึ่งของรายชื่อ FT Future 100 อันดับ ธุรกิจที่เติบโตเร็วที่สุดในสหราชอาณาจักร
ด้าน นายเดิร์ก อังเดร ลีน่า คุยเบอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท กล่าวว่า การเปิดตัว โซ/ มัลดีฟส์ ซึ่งถือเป็นความเสร็จสมบูรณ์ในเฟสแรกของ ครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์น่าจะช่วยดึงนักท่องเที่ยวเดินทางมายังมัลดีฟส์ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึง 15 % ในปี 2566 นี้
ส่วน ซอ วิน มวง กรรมการผู้จัดการแห่ง WEWD กล่าวว่า มัลดีฟส์เป็นจุดหมายปลายทางที่พิเศษอย่างแท้จริง ซึ่งการมีส่วนร่วมกับ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท เพื่อพัฒนาโครงการระดับโลก จะทำให้โซ/ มัลดีฟส์ เป็นรีสอร์ตที่โดดเด่นที่จะดึงดูดนักเดินทางกลุ่มใหม่เข้ามาในมัลดีฟส์
ซึ่งในปลายปีนี้ ครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์ จะประกอบด้วยรีสอร์ต 3 แห่งในโครงการ ได้แก่ ทราย ลากูน มัลดีฟส์ ฮาร์ดร็อค โฮเทล มัลดีฟส์ และ โซ/ มัลดีฟส์ ที่พร้อมรองรับกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย อีกทั้งการเสร็จสมบูรณ์เฟสแรกของโครงการ ครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์ มีบทบาทสำคัญในการยกระดับ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ให้เป็นบริษัทผู้นำด้านการสร้างสรรค์จุดหมายปลายทางที่น่าทึ่งระดับโลกอย่างแท้จริง