จากการฟื้นตัวทางธุรกิจของคลับเมด ที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2565 กลับมาอยู่ในระดับเดียวกันกับช่วงก่อนเกิดโรคระบาดโควิด โดยได้แรงหนุนจากนักท่องเที่ยวทั้งในยุโรป และอเมริกา จึงทำให้ผลประกอบการในปี 2565 กวาดรายได้กว่า 1.7 พันล้านยูโร หรือประมาณ 6.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 100 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปี 2564 และนับว่าฟื้นตัวได้ 99 เปอร์เซ็นต์เมื่อเปรียบเทียบในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562 ทำให้มีผลกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 98 ล้านยูโร เป็นผลมาจากการปรับวางตำแหน่งของแบรนด์ใหม่ ให้เป็นระดับไฮ-เอนด์ และร่วมสมัยมากขึ้น ภายใต้หลักการสร้างสรรค์ 3 ประการ ได้แก่ ความเรียบง่าย มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และพิเศษไม่เหมือนใคร
แผน 3 ปีขยายรีสอร์ตอีก 17 แห่ง
ซึ่ง นายอ็องรี ฌิสการ์ แด็สแต็ง ประธานคลับเมด กล่าวว่า ด้วยรายได้ของ คลับเมด ในปีที่ผ่านมา และสถิติรายรับประจำเดือนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนมกราคม และกุมภาพันธ์ ของปี 2566 จึงได้ตั้งเป้าภาพรวมในปี 2566-2568 คลับเมด จะเปิดรีสอร์ตใหม่อีก 17 แห่ง ขยายและปรับปรุงรีสอร์ตที่มีอยู่แล้ว 10 แห่ง และศึกษาความเป็นไปได้ในการเปิดรีสอร์ตแห่งอื่นต่อไป
โดย ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีมาก สืบเนื่องมาจากความต้องการของลูกค้าที่เติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในทวีปอเมริกาและยุโรป รวมถึงปรากฏการณ์เที่ยวล้างแค้น ในเอเชีย ที่เป็นการปลดปล่อยความอัดอั้นจากการไม่ได้ไปเที่ยวต่างประเทศกันมาเกือบ 3 ปี ได้สะท้อนให้เห็นถึง การเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2566 มีมูลค่ารวมธุรกิจได้ทำสถิติแตะระดับสูงสุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา ด้วยอัตราการจองห้องพักอยู่ที่ 77 เปอร์เซ็นต์
ปรับจุดยืนแบรนด์สู่ระดับพรีเมียม
อย่างไรก็ตาม นายอ็องรี กล่าวว่า ปี 2565 ที่ผ่านมาถือเป็นก้าวสำคัญเชิงกลยุทธ์ ในการปรับจุดยืนของแบรนด์ ไปยังกลุ่มอัปสเกลมากขึ้น โดยปัจจุบันรีสอร์ตในระดับพรีเมียมของคลับเมด คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 95 เปอร์เซ็นต์ เป็นสัดส่วนที่สูงที่สุด นับตั้งแต่มีการก่อตั้งคลับเมดในปี 2493 โดยในปี 2565 ได้เปิดรีสอร์ตใหม่ 7 แห่ง และในระหว่างปี 2566-2568 จะเปิดรีสอร์ตใหม่เพิ่มเติมอีก 17 แห่ง รวมถึงปรับปรุง และขยายการให้บริการในรีสอร์ตที่มีอยู่แล้วอีก 10 แห่ง และยังคงไม่หยุดที่จะมองหาโอกาสสำหรับเปิดรีสอร์ตเพิ่มเติมอีกด้วย
ทั้งนี้ในส่วนของผลประกอบการ ก็สูงกว่าปี 2562 ซึ่งเป็นปีก่อนเกิดโรคระบาดโดยบริษัทมีผลประกอบการสุทธิที่เป็นบวก และสามารถลดระดับหนี้สินทางการเงินได้ อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงรูปแบบธุรกิจ อีกทั้งแนวโน้มของธุรกิจในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 อยู่ในเกณฑ์ที่ดี ซึ่งกลยุทธ์ในการปรับจุดยืนดังกล่าวนี้ จะช่วยให้คลับเมด สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงในอนาคต
กลุ่มทวีปยุโรป และอเมริกาฟื้นตัวเร็ว
สำหรับธุรกิจของคลับเมด สามารถเติบโตได้ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของรีสอร์ตในกลุ่มทวีปยุโรป และอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564 ขณะที่รีสอร์ตในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังคงได้รับผลกระทบตลอดปี 2565 อันเนื่องมาจากกฎระเบียบต่างๆที่ทำให้มีข้อจำกัดด้านการเดินทาง รวมถึงการแพร่ระบาด โควิด-19 ระลอกที่ 2 ในจีน
ส่วนอัตราราคารายวันเฉลี่ย (Average Daily Rate - ADR) อยู่ที่ 208 ยูโรต่อวัน เพิ่มขึ้น 15 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปี 2564 และเพิ่มขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปี 2562 และปริมาณห้องพักสามารถเปิดได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 62 เมื่อเทียบกับปี 2564 และฟื้นตัวเป็นร้อยละ 92 ของระดับปี 2562 ก่อนเกิดวิกฤตโรคระบาด
ซึ่งอัตราราคารายวันเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นนี้มีสาเหตุหลักมาจากการปรับจุดยืนของแบรนด์ให้สูงขึ้น รวมถึงการลงทุนจำนวนมหาศาลในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ช่วยยกระดับพอร์ตโฟลิโอของ คลับเมด โดย 95 เปอร์เซ็นต์ของรีสอร์ตที่ให้บริการในปัจจุบันนั้น จัดเป็นรีสอร์ตในระดับไฮเอนพรีเมียม และในกลุ่มเอ็กซ์คลูซีฟ คอลเล็กชัน ที่ถือเป็นกลุ่มรีสอร์ตในระดับหรูของคลับเมด ดังนั้นแม้ว่าจะยังคงมีข้อจำกัดด้านการเดินทางในประเทศแถบเอเชีย และการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอก 2 แต่การเติบโตอย่างแข็งแกร่งในยุโรปและอเมริกา ช่วยให้คลับเมด มีรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 98 ล้านยูโร ซึ่งกลับสู่ในระดับเดียวกับช่วงก่อนการเกิดโรคระบาด
ขณะที่ผลประกอบการในภูมิภาคเอเชีย แม้ว่ามูลค่ารวมธุรกิจในปี 2565 จะยังตามหลังมูลค่าของปี 2562 อยู่ 48 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ยังเห็นแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดี โดยเมื่อเปรียบเทียบมูลค่าธุรกิจของครึ่งปีแรก กับครึ่งปีหลังของปี 2565 จะพบว่ามูลค่าธุรกิจของครึ่งปีแรก ตามหลังปี 2562 อยู่ถึง 73 เปอร์เซนต์ แต่เมื่อรวมมูลค่าธุรกิจของครึ่งปีหลัง มูลค่าธุรกิจทิ้งห่างลดลง เหลือเพียง 22 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นด้วยเหตุผลดังกล่าว