วันที่ 10 ส.ค.66 นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊ก เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค ระบุว่า...

“บุ้ง” พราก”หยก“ซึ่งเป็นผู้เยาว์ ด้วยการล่อลวงไปเป็นเครื่องมือทางการเมือง

จุดเริ่มต้นของ”หยก”เริ่มมาจากมีคนที่อ้างตัวเป็นศิลปินอิสระจาก จ.ขอนแก่น พ่นสีสเปรย์เป็นข้อความไม่เอา 112 และสัญลักษณ์อนาคิสต์ บนกำแพงพระบรมมหาราชวัง ก่อนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุม และแจ้ง 2 ข้อกล่าวหาตาม พ.ร.บ.โบราณสถานฯ และ พ.ร.บ.ความสะอาดฯ

[สัญลักษณ์อนาคิสต์ ที่หยกร่วมกิจกรรมพ้นสีที่กำแพงพระบรมมหาราชวังนั้นเป็นสัญลักษณ์ของลัทธิอนาธิปไตย]

[ลัทธิอนาธิปไตย เป็นปรัชญาการเมืองที่ตั้งข้อกังขาต่อการให้ความชอบธรรมแก่อำนาจทุกรูปแบบ นิยมสังคมไร้รัฐ การต่อต้านรัฐและสถาบันของรัฐคือหัวใจของลัทธิอนาธิปไตย โดยลัทธิอนาธิปไตยมีใกล้เคียงกับสังคมนิยมมากกว่าเสรีนิยม จึงถือว่าอนาธิปไตยเป็นลัทธิการเมืองที่ตรงข้ามกับประชาธิปไตย]

[ดังนั้น การกระทำของหยกและขบวนการสามนิ้ว ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่อ้างตัวว่าเป็นผู้นิยมประชาธิปไตย แท้จริงแล้วพวกเขาเป็นฝ่ายที่ต้องการล้มล้างประชาธิปไตยมากกว่า]

หลังจากเหตุการณ์ พ่นสีสเปรย์เป็นข้อความไม่เอา 112 และสัญลักษณ์อนาคิสต์ บนกำแพงพระบรมมหาราชวัง ปรากฏว่า “หยก” เด็กหญิงวัย 15 ปีถูกจับกุมเพิ่มด้วยอีกคน การจับกุมหยกเนื่องมาจากหมายจับในคดีมาตรา 112 ของ สน.สำราญราษฎร์

หยกเคยให้สัมภาษณ์ว่า ก่อนหน้านี้ไม่เคยสนใจหรือคิดจะไปร่วมกิจกรรมการเมือง ต่อมาหลังเริ่มมีกระแสการเคลื่อนไหวของนักเรียนในช่วงปี 2563-64

[กระแสการเคลื่อนไหวของนักเรียนดังกล่าว ก็คือการเคลื่อนไหวทางการเมืองของม็อบสามนิ้ว ซึ่งถูกบิดเบือนข้อเท็จจริง และยุยง ปลุกปั่นเด็กเยาวชนและประชาชนให้เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญและสถาบันพระมหากษัตริย์]

หยกเล่าว่าเธอเองได้เริ่มลองศึกษาหาข้อมูลเรื่องการเมือง การเคลื่อนไหว และการทำกิจกรรมเพื่อแสดงความคิดและแสดงออกทางการเมืองของประชาชนจากอินเทอร์เน็ต

[ข้อมูลที่หยกได้จากอินเทอร์เน็ตเหล่านั้น ก็ล้วนเป็นข้อมูลที่ถูกบิดเบือนข้อเท็จจริง และยุยง ปลุกปั่นเด็กเยาวชนและประชาชนให้เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญและสถาบันพระมหากษัตริย์]

เมื่อได้รับรู้เรื่องราวมากขึ้นก็เริ่มมีความสนใจและได้ทดลองเข้าร่วมกิจกรรมการเมืองที่มวลชนกลุ่มต่างๆ จัดขึ้นในช่วงปี 2565

หยกเปิดเผยว่าข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้จากการอ่านและการเข้าร่วมกิจกรรมการเมืองทำให้ตกผลึกได้ว่าปัจจุบันการปกครองของประเทศไทยนั้นไม่ใช่เป็นระบอบประชาธิปไตยตามอย่างที่ผู้ใหญ่หลายคนกล่าวอ้าง นอกจากนี้ยังรับรู้ได้ว่าในปัจจุบันนี้ สังคมไทยมีปัญหาอื่นๆ อีกมากมายที่ควรได้รับการแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องการปิดปากประชาชนด้วยกฎหมาย

[หนึ่งในปัญหาเรื่องการปิดปากประชาชนด้วยกฎหมายดังกล่าวก็คือ ข้อมูลที่ถูกบิดเบือนข้อเท็จจริง และยุยง ปลุกปั่นว่า ม.112 เป็นกฎหมายปิดปากประชาชน]

[ความจริง ม.112 คือกฎหมายที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งมีฐานะเป็นประมุขของชาติ เพื่อมิให้มีใคร ดูหมิ่น หมิ่นประมาทและแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เท่านั้น

ซึ่งพรรคก้าวไกลและม็อบสามนิ้วมักอ้างว่า เป็นกฏหมายที่รัฐใช้ปิดปากประชาชนที่ต้องการแสดงความเห็นทางการเมืองเท่านั้น]

แต่ย้อนดูแค่กรณีของหยกที่โดยคดี 112 นั้น ถูกดำเนินคดีเพราะแสดงความคิดเห็นหรือตั้งใจดูหมิ่น หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ?

หยกเล่าว่าเริ่มสนใจการเมืองเมื่อมีกระแสการเคลื่อนไหวของนักเรียนในช่วงปี 2563-64 โดยเริ่มทำกิจกรรมทางการเมืองกับมวลชนกลุ่มต่างๆ ที่จัดขึ้นในช่วงปี 2565 โดยกิจกรรมการเมืองงานแรกที่เข้าร่วม คือ งานรำลึกถึงการจากไปของ "วัฒน์ วรรลยางกูร" นักเขียนผู้ที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 เม.ย.65 ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา บริเวณสี่แยกคอกวัว และหลังจากนั้นก็มีโอกาสได้เข้าร่วมงานอื่นๆ ที่จัดขึ้นในช่วงปี 2565 อีกด้วย เช่น งาน “ราษฎรไล่ตู่” และ งาน “13 ตุลาหวังว่าสายฝนจะพาล่องไป”

หลังจากได้ร่วมเคลื่อไหนทางการเมืองมาระยะหนึ่ง ในช่วงเดือน ก.ค. 65 "หยก" ได้ร่วมก่อตั้งกลุ่ม “นักเรียนล้มฯ” ขึ้น

ต่อมา "หยก" ได้รับหมายเรียกในคดี "มาตรา 112" เมื่อตอยอายุ 14 ปีเศษ โดยสาเหตุที่ถูกดำเนินคดีมาจากกิจกรรมทางเมือง “13 ตุลาหวังว่าสายฝนจะพาล่องไป” ที่บริเวณเสาชิงช้า เมื่อวันที่ 13 ต.ค.65 ซึ่งเป็นกิจกรรมการรณรงค์ให้ปล่อยนักโทษการเมือง และยกเลิกมาตรา 112 โดยใช้ป้ายผ้าและการเขียนข้อความ ..............

ซึ่งความจริง ม.112 คือกฎหมายที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งมีฐานะเป็นประมุขของชาติ เพื่อมิให้มีใคร ดูหมิ่น หมิ่นประมาทและแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะการคุกคามสถาบันพระมหากษัตริย์ถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่งคงของชาติ เนื่องจากสถาบันพระมหากษัตริย์มีฐานะเป็นประมุขของชาติ]

[แต่พรรคก้าวไกลและม็อบสามนิ้วมักอ้างว่า ม.112 เป็นกฏหมายที่รัฐใช้ปิดปากประชาชนที่ต้องการแสดงความเห็นทางการเมืองเท่านั้น ทำให้เด็กเยาวชนและประชาชนที่หลงเข้าใจผิดออกมาละเมิด ม.112 เพราะเข้าใจว่าพระมหากษัตริย์อยู่เบื้องหลังทางการเมือง และรัฐใช้ ม.112 เพื่อปิดปากประชาชนที่เห็นต่าง]

หยก สำเร็จการศึกษาชั้น ม.3 ปีการศึกษา 2565 ซึ่งเป็นการศึกษาภาคบังคับตามกฎหมาย วันที่ 1 เม.ย.66 มารดาของน้องหยก มาบันทึกขอเลื่อนการมอบตัวเพื่อศึกษาต่อระดับชั้น ม.4 ต่อมาวันที่ 19 พ.ค.66 โรงเรียนได้รับรายงานตัวน้องหยกไว้ก่อน เพื่อรักษาสิทธิ์ในการศึกษาต่อ (หลังจากศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนหญิงบ้านปรานี จ.นครปฐม ได้ปล่อยตัวในคดี ม.112)

ซึ่งในการรายงานตัวดังกล่าวไม่เป็นไปตามเงื่อนไขในการมอบตัวตามประกาศการรับนักเรียน ปีการศึกษา 2566 ซึ่งโรงเรียนอนุญาตให้นักเรียนเข้าเรียนก่อน และเน้นย้ำให้นำผู้ปกครอง (มารดา) มามอบตัวนักเรียนให้สมบูรณ์ภายในวันที่ 10 มิ.ย.66 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่โรงเรียนจะต้องยืนยันข้อมูลจำนวนนักเรียนในระบบ DMC ของกระทรวงศึกษาธิการ

แต่นักเรียนไม่ได้ดำเนินการดักงล่าว ทำให้ไม่มีฐานข้อมูลในระบบ จึงไม่ได้เป็นนักเรียนของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ในปีการศึกษา 2566

ซึ่งเป็นจุดให้”บุ้ง” เข้ามาสวมเป็นผู้ปกครองของ”หยก”

ล่าสุด Nathiwat Wannasiri หรือ”จอมไฟเย็น”ออกมาแฉประเด็น “ปัญหาเรื่องการพยายามแย่งสิทธิ์การเป็นผู้ปกครองของหยก”

จอมไฟเย็น อ้างว่ารู้จักแม่น้องมาก่อนแล้วไม่ต่ำกว่า 2 ปี

จากกรณีที่หยกโดนดำเนินคดีนั้น จอมไฟเย็นอ้างว่า “ความเป็นจริง แม่น้องแค่เพียงมาเซ็นประกันตัวกริ๊กเดียวน้องก็สามารถกลับบ้านได้เพราะคดีเกิดตอนน้องอายุ 14 ไม่ผิดอาญาอยู่แล้วและศาลไม่ค้านประกัน แต่ด้วยความที่แม่เคารพในแนวทางการต่อสู้ของลูกสาวอย่างสุดใจ แม่จึงต้องหักห้ามใจไม่ให้เผลอใจอ่อนไปเซ็นประกันตัวลูกออกมาแล้วทำลายการต่อสู้ที่ลูกเลือกอย่างใตร่ตรองมาดีแล้ว”

แปลว่าอะไร

แปลว่า การปล่อยให้หยกถูกดำเนินคดีมีการวางแผนเอาไว้ เพื่อให้หยกถูกดำเนินคดี จะได้เอาเรื่องของหยกไปเป็นเครื่องมือทางการเมืองโจมตี ม.112, รัฐและสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือไม่ ? คำตอบมันชัดเจนอยู่แล้ว]

จอมไฟเย็น อ้างว่า “ฝ่ายแม่เองแค่อยากไปเยี่ยมน้องก็ยังไม่กล้าและทำไม่ได้เพราะรับปากน้องไว้ว่าจะไม่ไปยุ่งไปปรากฎตัวระหว่างสู้ปฏิเสธอำนาจศาล”

หลังจากที่ทางโรงเรียนยืนยันว่าให้ผู้ปกครองจริงๆ เป็นผู้พาน้องมามอบตัวเท่านั้นตาม MOU เนื่องจากระเบียบราชการถ้าผู้ปกครองตามกฎหมายไม่ได้เซ็นยินยอมมอบตัวกับ รร.ก็ไม่สามารถรับเด็กมาดูแลในช่วงเวลาเรียนได้ เป็นเรื่องสำคัญทางเอกสารราชการที่อาจถูกฟ้องร้องภายหลังได้

เมื่อเปิดเทอมไปได้สักพักหนึ่งน้องได้รับการปล่อยตัว บุ้งซึ่งได้เข้าไปเยี่ยมน้องหลายครั้งก่อนหน้าก็ได้ไปรับตัวและพาน้องกลับคอนโดตน โดยตอนแรกแจ้งกับสาธารณะว่าแค่จะรีบพาน้องไปหาหมอ

แต่แม่ของหยกไม่เคยคุยกับบุ้งเพราะไม่รู้จัก ไม่รู้ว่าบุ้งคือใคร (ไอ้ที่บุ้งไปหลอกสื่อว่าติดต่อแม่น้องไม่ได้-หาแม่น้องไม่เจอ-น้องไม่มีผู้ปกครอง นั่นเรื่องโกหกทั้งเพ)

ปรากฎว่าวันต่อมาบุ้งพยายามแนะนำให้น้องแอบไป”คัดทะเบียนบ้านออกจากบ้านแม่ไปอยู่ย้านบุ้ง"โดยไม่บอกแม่น้องก่อน

แม่น้องได้ทราบก็ตกใจว่าทำไมอยู่ๆ จะให้น้องคัดทะเบียนบ้านออกแล้วไม่มาถามคุณแม่ซึ่งเป็นเจ้าบ้านและผู้ปกครองตามกฎหมาย

โดยทางบุ้งอ้างกับน้องว่าตอนแรกจะให้น้องย้ายมาอยู่กับบุ้งเพราะจะใช้ในการมอบตัวเข้าเรียน/รับหมายเรียกเอกสารต่างๆ ซึ่งจริงๆมาทราบภายหลังว่า บุ้ง ก็ใช้วิธีการคล้ายๆกันนี้กับ”พลอย”

นั้นคือ การให้คัดทะเบียนบ้านออกมาอยู่กับบุ้งเพื่อได้สิทธิ์ในการดูแลเป็นผู้ปกครองหรือดำเนินธุรกรรมต่างๆ แทนผู้ปกครองตัวจริง โดยที่แม่ของน้องในฐานะเจ้าของบ้านและผู้ปกครองตามกฎหมายไม่ได้ให้ความยินยอม

ล่าสุด”พลอย” ซึ่งเป็นอดีตสมาชิกกลุ่มทะลุวัง ที่บุ้ง น้องหยกเป็นสมาชิกออกมาแฉเรื่องการหลอกใช้เด็กเป็นเครื่องมือ โดยเนื้อหาดังต่อไปนี้

พลอยกล่าวว่า

“เราเคยเป็นหนึ่งในเด็กที่บุ้งเอามาดูแลเหมือนหยก ตั้งแต่สมัยอยู่นักเรียนเลว ตอนนั้นที่บ้านเรามีปัญหาทำให้ไม่มีบ้านอยู่ รวมทั้งโดนคดี มันต้องมีผู้ปกครอง ทำให้บุ้งเข้ามาเป็นผู้ปกครองแทนพ่อแม่ บุ้งก็รับปากเรากับแม่เราว่าจะดูแลเราอย่างดี”

“บุ้งดูแลเราอย่างดีในช่วงแรกที่อยู่ด้วยกัน เรายังคงอยู่กับบุ้งเพราะไม่รู้จะไปอยู่ไหน บ้านก็ไม่มีให้กลับ ตอนนั้นเราเริ่มสัมผัสได้ถึงความรุนแรงในบ้านที่อยู่กับบุ้ง การถูก child grooming การโดนมินิพูเลท และการขูดรีดผลประโยชน์จากการเคลื่อนไหวในฐานะเยาวชนเพราะเราอายุแค่ 16 ตัวโต”

“บุ้งมักจะชอบดูแลเด็กที่มีปัญหากับที่บ้านหรือมีปัญหาในชีวิตและมีแสง บุ้งจะรับเด็กมาดูแล อาสาเป็นผู้ปกครองและค่อยๆ ใช้ประโยชน์จากเด็กคนนั้น เรากับเพื่อนโดนเอาผลงานการเคลื่อนไหวไปขอทุนเคลื่อนไหว แต่เงินทุนกลับส่งไม่ถึงเรา เพื่อนหลายคน และไม่สามารถตรวจสอบบัญชีของบุ้งได้”

“เรื่องการใช้ความรุนแรงของบุ้งกับเราและเพื่อนๆ เขาทำเหมือนที่ทำกับยามหน้าเพื่อไทย ตอนโมโห เขาจะใช้อารมณ์ทำให้เราหวาดกลัว ด้อยค่า ทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา ตามสไตล์มินิพูเลท ซึ่งตอนนั้นเรารู้สึกแบบนั้นจริงๆ เราโดนมินิพูเลทจนทุกวันนี้ยังกลับมาใช้ชีวิตยาก”

"บุ้งชอบให้เด็กออกมาเคลื่อนไหว เทคแอคชั่นแรงๆ โดยบุ้งบอกกับเราว่าเรายังเด็ก ต่อให้โดนคดีก็ยังไม่โดนหนักเพราะยังมีศาลเยาวชน และเด็กถ้าเจอค.รุนแรงเช่น ตำรวจจับ บลาๆ จะเป็นข่าวง่าย ขอทุนง่าย ไวรัลง่ายกว่า แล้วบุ้งอ้างว่าจะซัพพอร์ตน้องๆอยู่ข้างหลังแทน”

“จนเริ่มทำ “ทะลุวัง” เราโดนหนักมากขึ้น บังคับให้เราออกไปทำไรเเรงๆ แรงสุดคือเคยโดนให้ไปบุกคุกวังทวี แต่ตอนนั้นเราบอบช้ำจากการเคลื่อนไหวมามากแล้ว เหนื่อยโดนคดี เราบอกว่าสภาพจิตใจเราไม่ไหว ไม่อยากทำ ก็โดนปิดประตูใส่หน้า อยากจะหนีก็ไม่ได้ เพราะพอรู้ตัวอีกทีก็ไม่เหลืออะไรในชีวิตแล้ว”

“เราลาออกจากรร.เพื่อมาเคลื่อนไหว เงินก็ไม่มี ครอบครัวก็ทิ้ง ตอนนั้นเราคิดว่าเราต้องพึ่งพาแค่บุ้งเท่านั้น สุดท้ายหลุดออกมาได้เพราะเพื่อนรอบตัวให้ความช่วยเหลือ เป็นผู้ปกครองให้แทน จนปัจจุบันเราเป็นผู้ลี้ภัย112 อยู่ต่างประเทศ เราก็ยังโดนเขาโจมตีในขบวนเสียๆหายๆอยู่เรื่อยๆ “

จอมไฟเย็นกล่าวว่า “เรื่องสิทธิเด็กและเยาวชน ถ้าน้องยังอายุเพียง 15 ไม่ถึง 18 กฎหมายไม่ได้ให้สิทธิ์น้องเลือกผู้ปกครองใหม่ได้ตามใจชอบ ต่อให้น้องไปด้วยอย่างเต็มใจก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกกฎหมายถ้าผู้ปกครองไม่ยอม ซึ่งเทียบได้กับคดีพรากผู้เยาว์ การล่อลวงด้วยสิ่งใดให้เด็กรู้สึกเต็มใจไปด้วยหรือแม้แต่เด็กอยากไปด้วยเอง หากผู้ปกครองไม่ได้ยินยอมก็ผิดอยู่วันยังค่ำ”

คำถามคือ รัฐหายหัวไปไหน ทำไมไม่ยื่นมือไปช่วยเด็กที่ถูกหลอกล่อให้หลงผิด และตกเป็นเครื่องมือของผู้ไม่ประสงค์ดี ทั้งที่มีกฏหมายคุ้มครองเด็ก หรือเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องก็เป็นฝ่ายเดียวกับเขา จึงยินดีที่จะเห็นหยกเป็นเครื่องมือต่อไป

หนึ่งในปัญหาที่ม็อบสามนิ้วและผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลและม็อบสามนิ้วนำมาพูดเสมอคือ ม.112 เป็นกฎหมายที่ใช้ปิดปากประชาชน จนเป็นที่มาของการรณรงค์ให้ยกเลิกหรือแก้ไข ม.112 และพรรคก้าวไกลก็นำไปเป็นนโยบาลของพรรค ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ ส.ว.ไม่สามารถไว้วางใจที่จะยกมือให้พิธาเป็นนายกฯ เพราะนั้นเป็นข้อมูลที่ถูกบิดเบือนข้อเท็จจริงและเป็นการยุยง ปลุกปั่นว่า ม.112 เป็นกฎหมายปิดปากประชาชน

ความจริง ม.112 คือกฎหมายที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งมีฐานะเป็นประมุขของชาติ เพื่อมิให้มีใคร ดูหมิ่น หมิ่นประมาทและแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะการคุกคามสถาบันพระมหากษัตริย์ถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่งคงของชาติ เนื่องจากสถาบันพระมหากษัตริย์มีฐานะเป็นประมุขของชาติ

แต่พรรคก้าวไกลและม็อบสามนิ้วมักอ้างว่า ม.112 เป็นกฏหมายที่รัฐใช้ปิดปากประชาชนที่ต้องการแสดงความเห็นทางการเมืองเท่านั้น ทำให้เด็กเยาวชนและประชาชนที่หลงเข้าใจผิดออกมาละเมิด ม.112 เพราะเข้าใจว่าพระมหากษัตริย์อยู่เบื้องหลังทางการเมือง และรัฐใช้ ม.112 เพื่อปิดปากประชาชนที่เห็นต่าง

ลองย้อนดูแค่ผู้ต้องหาที่โดยดำเนินดดี ม.112 ซึ่งรวมถึงกรณีของหยกด้วยนั้น พวกเขาถูกดำเนินคดีเพราะแสดงความคิดเห็นทางการเมืองหรือตั้งใจดูหมิ่น หมิ่นประมาทและอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ?

อัษฎางค์ ยมนาค