ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยเสด็จ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ไปทรงเยี่ยมราษฎรทั่วทุกหนแห่งในผืนแผ่นดินไทย และทรงริเริ่มโครงการในพระราชดำริสำคัญ ๆ ไว้มากมายนับไม่ถ้วน ด้วยทรงหวังให้ปวงชนชาวไทยได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 91 พรรษา 12 สิงหาคม 2566 “สยามรัฐ” รวบรวมพระราชกรณียกิจ สมเด็จพระพันปีหลวง ที่ทรงทุ่มเทพระราชหฤทัยและพระวรกาย แก่ประชาราษฎร์ของพระองค์ให้อยู่ดีกินดีอย่างยั่งยืน

...ทรงส่งเสริมการศึกษาอย่างเท่าเทียม...

 การศึกษาของชาตินั้นเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เพราะเป็นการวางรากฐานแก่ชีวิต และความเป็นอยู่ของราษฎร ทรงห่วงใยและประจักษ์ในความสำคัญของปัญหานี้ จึงทรงเข้าร่วมแก้ไขปัญหาอย่างเต็มพระกำลัง ได้พระราชทานพระราชทรัพย์เป็นทุนเริ่มแรกให้แก่ โรงเรียนเจ้าแม่หลวงอุปถัมภ์ 1 ในการสร้างโรงเรียนสำหรับชาวไทยภูเขาเผ่าเย้าที่บ้านห้วยขาน ต.แม่งอน อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ และทรงมอบโรงเรียนให้อยู่ในความดูแลของกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน ปัจจุบันเป็นโรงเรียนที่สอนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนต้น สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ รวมถึงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อสร้างอาคารหลังใหม่ให้แก่ โรงเรียนเจ้าแม่หลวงอุปถัมภ์ 2 สำหรัยเด็ก ชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง ต.แม่ริม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่

นอกจากนี้ยังทรงรับนักเรียนยากจนขาดโอกาสทางการศึกษาที่ทรงพบด้วยพระองค์เองระหว่างการเสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมราษฎร ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์เกือบ 2,000 คน โดยทุนการศึกษานี้มิได้พระราชทานแก่นักเรียน นิสิต นักศึกษาในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดเท่านั้น หากแต่พระมหากรุณาธิคุณนี้ยังแผ่ไพศาลไปยังเด็กพิการให้เข้ารับราการศึกษาในโรงเรียนการศึกษาพิเศษตามความสามารถ จนจบการศึกษา เพื่อนำความรู้ไปประกอบอาชีพหาเลี้ยงตนเองได้ในอนาคต

ในขณะเดียวกันทรงคำนึงถึงราษฎรตามหมู่บ้านต่าง ๆ ทั่วประเทศที่ไม่มีโอกาสได้ไปศึกษาหาความรู้ จึงทรงริเริ่มโครงการห้องสมุดสารพัดประโยชน์ขึ้นในหลายๆ หมู่บ้าน โดยใช้ชื่อว่า “ศาลารวมใจ” มีพระราชประสงค์ให้ราษฎรทุกเพศทุกวัยได้เพิ่มพูนความรู้ ไม่ว่าจะโดยการศึกษาในโรงเรียนหรือนอกโรงเรียนเพื่อให้มีความรู้รอบตัว รู้ถึงความเปลี่ยนแปลง ตลอดจนรู้จักปรับตัวให้ทันกับสภาพสังคมปัจจุบัน และที่สำคัญคือให้สามารถเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้ เพื่อจะได้เป็นประชาชนที่มีคุณภาพของประเทศชาติต่อไป

...น้ำพระทัยในยามวิกฤติสาธารณสุข...

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงห่วงใยปัญหาความทุกข์ยากของราษฎรอย่างใกล้ชิดเสมอมา โดยเฉพาะปัญหาด้านสุขภาพอนามัยตามพื้นที่ชนบทห่างไกล ทรงตระหนักว่า การมีสุขภาพอนามัยที่สมบูรณ์จะนำไปสู่สุขภาพจิตที่ดี และสามารถทำประโยชน์ด้านอื่น ๆ ต่อไปได้ พระองค์จึงได้พระราชทานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริด้านสาธารณสุขเป็นจำนวนมาก อาทิ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดคณะแพทย์ตามเสด็จในต่างจังหวัด นำมาสู่ “หน่วยแพทย์พระราชทาน” ตามเสด็จไปรักษาพยาบาลราษฎรในถิ่นทุรกันดาร ยังทรงช่วยเหลือกลุ่มผู้ประสบภัยธรรมชาติ ทรงช่วยเหลือทหาร ตำรวจ และราษฎรอาสาสมัครตามชายแดน จนทุกวันนี้

ทรงสานต่อโครงการ “หมอหมู่บ้าน” ของในหลวง รัชกาลที่ 9 คัดชาวบ้านที่สมัครใจมาอบรม เพื่อนำความรู้กลับไปช่วยเหลือคนเจ็บป่วยในหมู่บ้าน โดยให้ชาวบ้านรู้จักใช้ยาและดูแลรักษาอนามัยเบื้องต้น ขณะที่คนไข้ป่วยหนัก และมีฐานะยากจนทรงไม่ทอดทิ้ง ทรงรับไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ ทุกชีวิตของราษฎรมีความหมายใต้ร่มพระบารมีสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง

แม้ในยามที่พสกนิกร ต้องเผชิญสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่พสกนิกรต่างถวายพระราชสมัญญาว่า “พระแม่เจ้าของชาติ” พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์และชุดอุปกรณ์ปกป้องทางเดินหายใจแบบอากาศบริสุทธิ์ PAPR เพื่อใช้ในห้องผ่าตัดของโรงพยาบาลประจำจังหวัดในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ โรงพยาบาลในสังกัดกรุงเทพมหานคร และทุกเหล่าทัพช่วยปกป้องบุคลากรทางการแพทย์ที่เสียสละให้ปลอดภัยจากการปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19

...พระเมตตาด้านงานสังคมสงเคราะห์...

ได้พระราชทานความช่วยเหลือแก่ประชาชนด้านการแพทย์ สาธารณสุข และสังคมสงเคราะห์ ผ่านโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ มากมาย ด้วยทรงตระหนักว่า การมีสุขภาพอนามัยที่สมบูรณ์จะนำไปสู่สุขภาพจิตที่ดี และสามารถทำประโยชน์ด้านอื่น ๆ ต่อไปได้ ทรงจัดตั้ง “มูลนิธิสายใจไทย” ช่วยเหลือทหาร ตำรวจ และอาสารับใช้ชาติที่บาดเจ็บ พิการ พัฒนาอาชีพให้ช่วยเหลือตัวเองและมีรายได้เลี้ยงครอบครัว ผลิตภัณฑ์หัตถกรรมจากมูลนิธิสายใจไทยเป็นที่รู้จักและนิยมของคนไทยมาโดยตลอด และไม่เพียงปวงชนชาวไทยเท่านั้น ยังทรงแผ่น้ำพระราชหฤทัยไปถึงผู้อพยพลี้ภัยจำนวนมาก ดังเช่น เหตุการณ์บ้านเขาล้าน จ.ตราด ทรงเยี่ยมผู้ลี้ภัยสงครามชาวกัมพูชา ทรงนำอาหาร ยารักษาโรค และเครื่องนุ่งห่มไปพระราชทานด้วยพระองค์เอง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สภากาชาดไทยไปให้ความร่วมมือกับกาชาดสากลในการช่วยเหลือผู้อพยพ และพระราชทานครูเข้าไปสอนวิชาชีพให้แก่ผู้อพยพ กิจการดังกล่าวได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน

...ทรงอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและปกป้องช้าง...

ทรงตระหนักถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยิ่งยวด ทำให้เกิดพระราชกรณียกิจด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติและปกป้องสัตว์ป่าเป็นจำนวนมาก ความมุ่งมั่นและการอุทิศพระองค์ในพระราชกรณียกิจเหล่านี้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลก โดย World Wildlife Fund (WWF) ได้ขอพระราชทานพระราชวโรกาสทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายรางวัลเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่องานด้านการคุ้มครองสัตว์ป่าแด่พระองค์เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2522

ทรงริเริ่มโครงการปล่อยช้างคืนสู่ธรรมชาติเพื่อให้ช้างเลี้ยงและช้างป่าที่ถูกกักขังได้มีทางเลือกให้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อาศัยอย่างกลมกลืนในป่าและธรรมชาติ โดยทรงริเริ่มกระบวนการปล่อยช้างสู่ป่าครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2540 ด้วยการปล่อยช้างชุดแรกคืนสู่ป่า จำนวน 3 เชือก ได้แก่ พังบัวลอย พังบุญมี และพังมาลัย และทรงปล่อยครั้งที่สองเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541 ได้แก่ พังสังวาลย์ และพังคำน้อย เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 ทรงปล่อยพังคำมูล และพลายสอง และเสด็จฯ เป็นองค์ประธานปล่อยช้างอีกจำนวน 16 เชือก เมื่อปี พ.ศ. 2543 นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2544 สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก และเจ้าชายเฮนริก พระราชสวามี ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งองค์ประธาน WWF ประเทศเดนมาร์ก ได้เสด็จฯ เยือนไทยและทรงปล่อยช้างเพิ่มอีกหนึ่งเชือก

และในวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2545 มูลนิธิคืนช้างสู่ธรรมชาติ ได้ก่อตั้งอย่างเป็นทางการภายใต้พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยได้รับการสนับสนุนจาก WWF โดยภารกิจหลักของมูลนิธิคือการปล่อยช้างที่ถูกกักขังให้กลับคืนสู่ป่าและการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมของป่าและทรัพยากรธรรมชาติรวมทั้งพันธุ์พืชและสัตว์ป่า นอกจากนี้ยังมีการวิจัยและให้ความรู้เกี่ยวกับช้างเอเชีย ตลอดจนการส่งเสริมการจัดการความอยู่รอดในระยะยาวของช้างในประเทศไทยและทั่วโลก

ขอขอบคุณภาพจากเว็บไซต์ www.royaloffice.th

************

หมายเหตุ

พระราชดำรัสสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

“....การพัฒนาคนเป็นสิ่งสำคัญเท่ากับชาติ ถ้าไม่พยายาม พัฒนาคนให้อยู่ในสภาพที่อยู่ดีกินดี มีการศึกษา และอาชีพ คนก็ไม่สามารถพัฒนาชาติให้เจริญได้ การพัฒนาคนจึงเท่ากับ การพัฒนาประเทศ ถ้าใครมีความสามารถที่จะเรียนรู้ได้สูงสุดแค่ไหน ก็ให้เขาเรียน ไปจนถึงที่สุด แต่คำว่าการศึกษานั้น ไม่จำเป็นว่าต้องอยู่ในโรงเรียนเสมอไป ยังมีทางเลือกอีกหลายทาง ทั้งสายอาชีพ ทั้งการอบรม โดยผู้เชี่ยวชาญต่างๆ รวมทั้งการฝึกงานโครงการศิลปาชีพ...”

แนวพระราชดำริพระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล ณ ศาลาดุสิตดาลัย สวนจิตรลดาวันที่ 11 สิงหาคม พุทธศักราช 2542

“...ปัจจุบันนี้มีปัญหาสังคมเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนเป็นอันมาก ปัญหาเหล่านี้หากบำบัดแก้ไขไม่ทันท่วงที ก็จะกระทบกระเทือนและเป็นภัยถึงความเป็นอยู่ส่วนรวมด้วยอย่างแน่นอน งานสังคมสงเคราะห์ จึงเป็นงานที่มีความสำคัญมาก และจำเป็นที่ทุกๆฝ่ายจะต้องร่วมมือกันทำอย่างจริงจัง...”

พระราชดำรัส ในพิธีเปิดการประชุมการสังคมสงเคราะห์ ณ ศาลาสันติธรรม วันที่ 2 เมษายน พุทธศักราช 2508

“....ในขณะนี้ประเทศไทยกำลังเร่งรัดสร้างสรรค์ความเจริญ จำเป็นต้องตระหนักถึงผลทางสังคมอันจะเกิดขึ้น และเตรียมที่จะรับปัญหานั้นในเรื่องนี้เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงข้อขัดข้องและความผิดพลาด น่าจะศึกษาบทเรียนที่ประเทศต่าง ๆ ได้รับในระยะการพัฒนาการ ส่วนผู้ที่เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิตลอดจนผู้แทนและผู้สังเกตการณ์จากหน่วยงานหรือองค์กรสถานศึกษาต่าง ๆ นั้น ก็ควรจะ ประสานงานสอดคล้องต้องกันเพื่อพัฒนางานในด้านนั้นให้เกิดประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ประชาชน ซึ่งเป็นกุศลบุญ ควรแก่การอนุโมทนา...”

พระราชดำรัส ในพิธีเปิดประชุมการสังคมสงเคราะห์ ณ ศาลาสันติธรรม วันที่ 29 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2503

“ช้างมีความสำคัญมาแต่ครั้งประวัติศาสตร์ เคยช่วยรักษาบ้านเมือง กู้บ้านกู้เมือง ดังนั้นขอให้ช่วยกันดูแล มิให้ช้างถูกฆ่าอย่างทารุณเยี่ยงนี้ เพื่อจะได้ไม่ผิดพระราชประสงค์ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตั้งพระทัย ที่จะให้มีการอนุรักษ์ช้าง ให้เป็นสัตว์คู่แผ่นดินสืบไป"

พระราชดำรัส เมื่อวันที่ 5 มกราคม พุทธศักราช 2555 ณ พระตำหนักจิตรลดา

“...ปัจจุบันเรามีสิ่งล่อใจมากทางด้านวัตถุ มีสิ่งที่บำรุงบำเรอความสุขที่จะสรรหามาได้ทุกเมื่อ จนกระทั่งขาดความสำนึกที่ว่า คนเรายิ่งได้ดีมั่งมีสุขสมบูรณ์ ก็ยิ่งสมควรจะต้องสะสมความดียิ่งขึ้นไม่ใช่สะสมแต่ทรัพย์สมบัติ จนคิดแต่จะแก่งแย่งกัน กลายเป็นยุคที่ร้อนระอุเป็นอันตรายต่อเสรีภาพของบ้านเมือง..”

พระราชดำรัส แก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคล เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ 10 สิงหาคม พุทธศักราช 2527

************

เกร็ดความรู้

1.ผู้ทรงพระราชอิสริยยศ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ต้องทรงเป็นสมเด็จพระบรมราชินีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในแผ่นดินก่อนและต้องทรงเป็นพระราชมารดาของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ปัจจุบันด้วย นับได้ว่าสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงทรงเป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระองค์ที่สองของกรุงรัตนโกสินทร์ ต่อจากสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระบรมราชชนนีในล้นเกล้ารัชกาลที่ 6

2.ดอกมะลิ เป็นสัญลักษณ์ของวันแม่แห่งชาติ เนื่องจากดอกมะลิถือเป็นดอกไม้มงคลของไทยดั้งเดิมเพราะมีสีขาวบริสุทธิ์และมีกลิ่นหอมยาวนานออกดอกได้ตลอดทั้งปี ดอกมะลิเปรียบถึงความรักอันบริสุทธิ์ที่แม่มีต่อลูก และมีอย่างยาวนานตลอดไป เสมือนสีและกลิ่นของดอกมะลิที่ขาวตลอดเวลาและหอมอบอวนตลอดทั้งวันทั้งคืน