นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงานสัมมนาวิชาการ ประจำปี 2566 ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ "ยกระดับเศรษฐกิจภาคเหนือ คว้าโอกาสบนโลกแห่งความท้าทาย" ในหัวข้อก้าวต่อไปของเศรษฐกิจการเงินไทยว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 2566 อาจปรับลดลงจากคาดการณ์ แต่ภาพรวมจะยังเห็นการเติบโตได้ที่ระดับ 3% กลางๆจากคาดการณ์ล่าสุดที่ 3.6% เนื่องจากยังมีปัจจัยเสี่ยงเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออก แต่เศรษฐกิจไทยยังมีการฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง แม้บางช่วงอาจจะเห็นตัวเลขต่ำกว่าคาดการณ์บ้าง แต่ภาพรวมยังไม่เปลี่ยนแปลงจากที่ได้ประเมินไว้ โดย GDP ไตรมาส 2/66 สภาพัฒน์จะประกาศในเดือน ส.ค.นี้ แนวโน้มอาจจะออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ จากการดูตัวเลขในเบื้องต้น แต่ไม่ได้หมายความว่าการฟื้นตัวจะไม่ต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเพราะเศรษฐกิจไทยถูกขับเคลื่อนจากการบริโภคและลงทุนเอกชน รวมไปถึงการท่องเที่ยว ซึ่งภาพเหล่านี้ story ไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัย
สำหรับการลงทุนภาคเอกชนปีนี้ คาดว่าจะเติบโตเกิน 4% ขณะที่การท่องเที่ยว แม้นักท่องเที่ยวจากจีนจะไม่เข้ามาเร็วอย่างที่คิด แต่ยังเชื่อว่านักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้จะอยู่ที่ 29 ล้านคน ซึ่งจะยังช่วยพยุงเศรษฐกิจได้ แต่การส่งออกอาจไม่ค่อยดีมาก เป็นผลมาจากเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจจีน ทำให้การส่งออกยังไม่ค่อยดีนักในช่วงครึ่งปีแรก แต่เชื่อว่าในครึ่งปีหลัง และช่วงปลายปีจะค่อยๆดีขึ้น
ทั้งนี้บริบทของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ เปลี่ยนไปจากปี 2565 ที่อัตราเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นสูงและเร็วมาก จนทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และ ธปท. ต้องเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อดูแลเงินเฟ้อ ในขณะที่ปีนี้ มองว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับมาเติบโตได้ในระดับที่สูงกว่าช่วงก่อนโควิด-19 แม้จะฟื้นตัวช้า ไม่ฟื้นเร็วเท่าประเทศอื่น แต่ก็ยังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อระยะยาว มองว่าจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ 1-3% โจทย์ของนโยบายการเงินจึงเปลี่ยนไป โดยตอนนี้ต้องเน้นการ Landing ทำให้ Landing ได้ดี จากก่อนหน้านี้ที่เน้น Smooth take off ดังนั้นสิ่งที่ต้องดู ไม่ใช่แค่ปัจจัยระยะสั้นเรื่องเงินเฟ้อ แต่ต้องดูภาพเศรษฐกิจระยะยาวด้วย เพราะตอนนี้ การจะลงตรงไหน จะอยู่ตรงไหน เหมือนเป็นการปักหมุดในระยะยาวว่าดอกเบี้ยที่จะอยู่ในระดับที่สร้างความสมดุลระยะปานกลาง และระยะยาวที่เหมาะสมเป็นเท่าไร จะดูแค่ปัจจัยระยะสั้นไม่ได้แล้ว
สำหรับ 3 เรื่องที่ต้องนำมาพิจารณาคือ 1. เศรษฐกิจเติบโตในระดับศักยภาพในระยะยาวหรือไม่คือ ระดับ 3-4% หากโตเร็วกว่านี้ จะเกิดปัญหาเรื่องความร้อนแรง 2.แนวโน้มเงินเฟ้อ ควรจะอยู่ในกรอบเป้าหมาย 1-3% ซึ่งเป็นระดับที่ยั่งยืน 3.อัตราดอกเบี้ยต้องไม่ไปสร้างปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงถึง 90% ต่อ GDP ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะการมีดอกเบี้ยที่ต่ำและนานเกินไป ทำให้หนี้เพิ่มขึ้น ดังนั้นการจะไม่ให้หนี้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง คือ ต้องปรับดอกเบี้ยให้สอดคล้องกับความสมดุลระยะยาวมากขึ้น
ทั้งนี้บริบทเศรษฐกิจไทยที่เปลี่ยนไป โจทย์นโยบายการเงินจึงต้องเปลี่ยนจาก Smooth take off เป็น Landing การขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป เราได้ถอดออกไปแล้ว ตรงนี้สะท้อนว่า ตอนนี้มันอยู่ใกล้จุดที่จะมีการเปลี่ยน พูดง่าย ๆให้ชัดเจนคือ ประชุม กนง. 27 ก.ย.66 มีโอกาสที่เราจะคง หรือขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่อย่างไรก็ตามยังไม่ปรับลงแน่นอน เพราะยังไม่เหมาะที่จะปรับลง จึงอยากให้ดูไป ธปท.เข้าใจว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะมีผลข้างเคียง และสร้างภาระ แต่ก็เป็นสิ่งจำเป็น เพราะมีผลในภาพรวม ทำให้ที่ผ่านมาจึงมีการออกมาตรการมาช่วยดูแลกลุ่มเปราะบางที่อาจได้รับผลกระทบจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นพิเศษ เช่น มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ระยะยาว และมาตรการแก้หนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ส่วนการส่งผ่านของธนาคารพาณิชย์ หลังการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้น ธปท. ไม่อยากให้กระทบลูกค้าของธนาคารพาณิชย์มากเกินไป เช่น รอบล่าสุดที่ขึ้น 0.25% นั้น การส่งผ่านไปสู่อัตราดอกเบี้ย MRR อยู่ที่ประมาณ 50% เท่านั้น
ขณะที่แนวโน้มหนี้เสีย (NPL) ในระบบ โดยมองว่ามีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสินเชื่อจัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM) แต่ถือเป็นเรื่องปกติ และยังไม่พุ่งสูงขึ้นเป็นหน้าผา NPL จนส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจ
สำหรับความไม่แน่นอนทางการเมืองนั้น ธปท.ประเมินว่าจะมีความล่าช้าในการใช้จ่ายงบประมาณ ออกไปราว 2 ไตรมาส แต่ผลกระทบจะไม่ค่อยมาก เพราะงบรายจ่ายประจำยังสามารถดำเนินการได้ปกติ เพียงแต่งบลงทุน อาจจะกระทบบ้าง แต่ไม่ได้มากจนทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจปีนี้เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ดี จุดเสี่ยงจริง ๆ นอกเหนือจากหน้าตารัฐบาลใหม่จะเป็นอย่างไรแล้ว ยังมีเรื่องนโยบายที่ต้องดูว่ารัฐบาลใหม่จะมีนโยบายอะไรออกมา โดยสิ่งที่ไม่อยากเห็นคือ นโยบายของรัฐบาลใหม่ที่บั่นทอนเสถียรภาพ