วันที่ 7ส.ค.2566 ที่โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ รัชดา กทม. นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้เคยร่วมเรือนจำเดียวกันกับนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง แถลงในหัวข้อ “แฉเพื่อชาติ หรือแฉเพื่อใคร?” กรณีที่นายชูวิทย์ ออกมาแถลงพาดพิงนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย เกี่ยวกับภาษีที่ดินกับบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)ว่า เป็นสิทธิ์ตามกฎหมายที่นายเศรษฐาจะดำเนินการ ไม่มีใครปิดปากนายชูวิทย์ได้ เพราะถ้านายชูวิทย์ตรวจสอบนายเศรษฐาอย่างบริสุทธิ์ใจ ก็ไม่มีปัญหาใด ตนตั้งข้อสังเกตว่า นายชูวิทย์ได้ข้อมูลเรื่องที่ดิน ที่บริษัท แสนสิริ จำกัด มหาชน ซื้อกับเอกชนมานานแล้ว ทำไมนายชูวิทย์ไม่ไปตรวจสอบตั้งแต่ตอนนั้น แต่ปล่อยไว้จนนายเศรษฐามาเป็นแคนดิเดตนายกฯและเตรียมจะโหวตนายกฯ กลับออกมาแฉในช่วงนี้ ดังนั้นต้องตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่มีวาระซ่อนเร้น ให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย
“การแถลงข่าวของนายชูวิทย์ เมื่อวันที่3ส.ค.ที่ผ่านมา ที่มีการเสนอการขายที่ดินแบบนิติกรรมอำพราง ไม่ซื่อสัตย์สุจริต รู้เห็นเป็นใจกับบริษัทแสนสิริ ทำให้รัฐเสียหายกว่า500บาทนั้น มันไม่ซับซ้อนอะไร เรื่องนี้เหมือนกับนายชูวิทย์เอาแพะชนแกะ พูดความจริงครึ่งเดียว เอาง่ายๆเลยผู้ขายได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการแบ่งคืนให้ผู้ถือหุ้นคนละวันกัน ในทางกฎหมายไม่ถือว่าบุคคลดังกล่าวได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมกัน กฎหมายอนุญาตให้ผู้ขายทำได้ ต่อมาเมื่อมีการขายให้บริษัทแสนสิริฯ ก็เป็นไปตามกฎหมายทุกอย่าง เป็นไปตามระเบียบกรมที่ดิน และระเบียบกรมสรรพากร ถ้าเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง ผู้ขายก็ไม่สามารถขายและโอนได้ และถูกสรรพากรฟ้องร้อง ไม่ปล่อยให้เนิ่นนานจนถึงมือนายชูวิทย์” นายพร้อมพงศ์ กล่าว
นายพร้อมพงศ์ กล่าวต่อว่า นายชูวิทย์ จงใจให้ข้อเท็จจริงบางส่วน เพื่อให้สังคมเข้าใจผิดว่าได้ที่ดินมาในพร้อมกัน นายชูวิทย์ต้องปกปิดความจริงข้อนี้เพื่อใช้เป็นช่องทางกล่าวหานายเศรษฐาใช่หรือไม่ เพราะถ้าพูดความจริงทั้งหมด จะกล่าวหานายเศรษฐาไม่ได้เลย ส่วนที่นายชูวิทย์ ออกมาระบุว่านายเศรษฐาเป็นตัวการร่วม รู้เห็นเป็นใจนั้น ยืนยันว่าไม่จริง นายเศรษฐาไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ตนได้รับเอกสารที่สรุปจากกรมสรรพากร ว่าเป็นไปตามคำสั่งของกรมสรรพากรขั้นต้น ดังนั้นการที่กล่าวหานายเศรษฐา สมคบคิดในการเลี่ยงภาษี เป็นการกลั่นแกล้งเพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมืองที่จะโจมตีนายเศรษฐาใช่หรือไม่
นายพร้อมพงศ์ กล่าวอีกว่า ที่นายชูวิทย์แถลงข่าวในเรื่องนี้เรื่อยมา น่าจะเป็นเท็จ ยืนยันว่านายเศรษฐาไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ไม่ได้ทำผิดจริยธรรม ตามที่นายชูวิทย์กล่าวอ้าง วันนี้สังคมอย่าหลงประเด็นดราม่าของนายชูวิทย์ที่ใช้ลีลาโวหารแบบแอคชั่น แล้วบอกคนนั้นคนนี้ผิด ถ้านายชูวิทย์ ความจำไม่สั้น ตนจะจับผิดโกหกคำโตของนายชูวิทย์ ก่อนหน้าพูดอย่างลับหลังพูดอีกอย่าง
จากนั้นนายพร้อมพงศ์ ได้เปิดหลักฐานเป็นภาพถ่ายที่นายชูวิทย์เคยไปพบกับผู้บริหารแสนสิริ พร้อมนายเศรษฐา และมีการจับมือกับนายเศรษฐา เมื่อวันที่8ก.ย.2565 เพื่อเสนอขายที่ดินแปลงตัวเองกับครอบครัวให้บริษัทแสนสิริ ซึ่งเป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่นายชูวิทย์ขายให้บริษัทไรมอนด์ แลนด์ จำกัด (มหาชน) แล้วทางบริษัทไรมอนด์ ขอค่ามัดจำจำนวน400ล้านบาท แต่ต่อมาติดปัญหาการดำเนินการกันต่อทำให้นายชูวิทย์ทวงถามหลายครั้ง ก็เลยมาเสนอที่ดินแปลงนี้ให้กับบริษัทแสนสิริ พร้อมตั้งคำถามต่อนายชูวิทย์ว่าจริงหรือไม่ ซึ่งเมื่อบริษัทแสนสิริฯ มารู้ว่าที่ดินแปลงนี้ติดสัญญากับบริษัทไรมอนด์ฯ จึงให้ไปเคลียร์กันก่อน เนื่องจากจะมีปัญหาทางกฎหมาย จนนายชูวิทย์ดำเนินการไม่ได้ ทางบริษัทแสนสิริ จึงปฏิเสธการซื้อขาย
“ผมถามว่าเรื่องนี้ เป็นสาเหตุทำให้นายชูวิทย์โกรธเคือง และมาดำเนินการในลักษณะเช่นนี้ใช่หรือไม่ จริงหรือไม่ก่อนที่นายชูวิทย์จะมาแถลงข่าวแฉ ได้พยายามเสนอขายที่ดินแสนสิริอีกครั้ง โดยเสนอราคาเพิ่มเป็นจำนวน2พันล้านบาท แต่ถูกปฏิเสธอีกครั้ง เนื่องด้วยเหตุผลทางกฎหมาย เหตุนี้ทำให้นายชูวิทย์ไม่พอใจด้วยหรือไม่ ภาพที่เกิดขึ้นมีการจับไม้จับมือสนิทสนม มีพฤติกรรมมาเสนอคุยเรื่องธุรกิจ มันตรงกันข้ามกับที่นายชูวิทย์พูดว่าไม่มีวาระซ่อนเร้นในการแฉเพื่อชาติ
ที่บอกว่าแฉเพื่อชาติ ผมขอถามว่าแฉเพื่อใคร นายชูวิทย์เป็นคนกว้างขวาง คนในวงการรู้ว่านายชูวิทย์สนิทกับบิ๊กทหารคนไหน สนิทกับนักการเมืองกลุ่มผู้มีอำนาจฝ่ายไหน วันนี้ผมถามจริงๆ นายชูวิทย์มาแฉเพื่อชาติ แล้วกล่าวหานายเศรษฐา ในลักษณะเปิดตัวเขี่ยบอลคนแรก เพื่อทำให้นายเศรษฐา ขาดคุณสมบัติขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) เรื่องจริยธรรม ผมขอถามต่อว่านายชูวิทย์รับงานใครมา หวังผลทางการเมืองเพื่อให้ใครกลับมาเป็นนายกฯหรือไม่” นายพร้อมพงศ์ กล่าว