เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 7 ส.ค. 66 ที่รัฐสภา นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวที่สว. อาจจะไม่ให้ความเห็นชอบนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ว่า ไม่ถึงขนาดนั้น อยู่ในขั้นตอนการดูคุณสมบัติ ซึ่งนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้มาชี้แจงในกรณีคุณสมบัติของนายเศรษฐา ซึ่งในส่วนของสว. ที่จะพิจารณาผู้ที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง ต้องมองภาพรวมหลายๆ เรื่อง
เมื่อถามว่าจากการที่นายเศรษฐาถูกกล่าวหาในหลายๆ เรื่อง ทางสว. มีความแคลงใจในการโหวตให้หรือไม่ นายกิตติศักดิ์ กล่าวว่า เอาใจช่วยนายเศรษฐา แต่ความจริงคือความจริง สว.รู้สึกหนักใจแทนนายเศรษฐา เพราะผู้ที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี เรื่องจริยธรรมสำคัญที่สุด ถ้าไปเป็นผู้บริหารบริษัทต่างๆ เราก็ไม่ไปเกี่ยวข้อง แต่นายเศรษฐาได้รับการเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 สว. จึงต้องพิจารณาให้รอบคอบ
เมื่อถามต่อว่า ที่ระบุว่า “หนักใจแทนนายเศรษฐา” หนักใจเรื่องอะไร นายกิตติศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องที่ดินเป็นเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องภาษีที่ยังไม่ชัดเจน ขณะเดียวกันเรื่องที่นายเรืองไกรเข้ามาร้องในวันนี้ ก็จะได้รับการพิจารณาอย่างเร่งด่วนจากกรรมาธิการ (กมธ.) พัฒนาการเมือง และการมีส่วนร่วมของประชาชน รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง ก็จะนำไปพิจารณาเช่นเดียวกัน
เมื่อถามว่า หากกล่าวในลักษณะนี้ เป็นการบอกกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ว่าให้นำเสนอแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเป็นชื่ออื่น นายกิตติศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่หน้าที่ และไม่ใช่อำนาจของสว. ที่จะไปปฏิบัติเช่นนั้น การจัดตั้งรัฐบาลเป็นเรื่องของสส. ส่วนสว. เป็นเพียงผู้วิพากษ์วิจารณ์ตามที่สังกัดอยู่ ดังนั้นสว. ไม่มีหน้าที่ไปก้าวก่าย หรือชี้ว่าจะเอาคนนั้นไม่เอาคนนี่
เมื่อถามว่า การโหวตนายกรัฐมนตรี ในรอบที่ 3 ประชาชนเริ่มตั้งคำถามว่าการโหวตนายกรัฐมนตรีนานเกินไปหรือไม่สว.จะปล่อยให้ผ่านไปก่อนแล้วค่อยปล่อยไปตามกระบวนการภายหลังได้หรือไม่ นายกิตติศักดิ์ กล่าวว่า บ้านเมืองโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีไม่ใช่เรื่องที่จะทดลองได้ ประเทศไทยไม่ใช่บริษัทที่จะมาเล่นขายของ ดังนั้น ผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะต้องถูกตรวจสอบอย่างดีที่สุด แน่นอนว่าไม่มีใครดี 100% แต่คนที่จะเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี อย่างน้อยต้องมีความใสสะอาดเกี่ยวกับเรื่องจริยธรรม
เมื่อถามว่า การโหวตนายกรัฐมนตรีรอบที่ 3 สว.ส่วนใหญ่จะรับหลักการ ไม่รับหลักการ หรืองดออกเสียง นายกิตติศักดิ์ กล่าวว่า เท่าที่มีการพูดคุยกันในการเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ การงดออกเสียงน่าจะน้อย มีแค่เห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบเท่านั้น
เมื่อถามย้ำว่า จะได้นายกคนที่ 30 เลยหรือไม่ นายกิตติศักดิ์ กล่าวว่า ได้ แต่ตนเองไม่ทราบว่าเป็นใคร บ้านเมืองปล่อยให้ช้าไปมากกว่านี้ไม่ได้ ส่วนพรรคการเมืองที่จะเสนอแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีก็เหลืออีกไม่กี่คน ดังนั้น ต้องได้นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลโดยเร็วที่สุด
เมื่อถามว่า การโหวตนายกรัฐมนตรีจะจบในรอบ 3 เลยหรือไม่ นายกิตติศักดิ์ กล่าวว่า ไม่บังอาจทำนายขนาดนั้น แต่การโหวตนายกรัฐมนตรีรอบที่ 3 หากยังเป็นชื่อของนายเศรษฐา เท่าที่ตนเองได้รับฟังจากหลายๆ ฝ่าย โดยเฉพาะสว. หนักใจแทนแล้ว
เมื่อถามว่า เห็นแววจะมีการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนนอกหรือไม่ นายกิตติศักดิ์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีคนนอกต้องมาจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 วรรคสอง ยืนยันว่าไม่ถึง แต่ที่ตนเองเคยให้สัมภาษณ์ไป ขอเป็นหมอเดาว่านายกรัฐมนตรีน่าจะไม่ได้มาจากพรรคเพื่อไทย เหตุผลที่พรรคเพื่อไทยจะไม่ได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อพรรคที่ 2 ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ก็เป็นหน้าที่ของพรรคที่ 3 ซึ่งก็มีแค่นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)
เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลสมานฉันท์ เพื่อแก้ปัญหารัฐธรรมนูญ นายกิตติศักดิ์ ถามกลับว่า "โทษทีมีพรรคก้าวไกลหรือไม่" พร้อมกล่าวต่อว่า หากไม่มีพรรคก้าวไกลก็จะอยู่ที่พรรคการเมืองไปรวมกันจะได้จำนวน 300 กว่าเสียง ก็จะเป็นรัฐบาลที่มีเสียงจำนวนมาก และสามารถปฎิบัติหน้าที่ได้อีกระยะหนึ่ง แต่คงไม่ครบ 4 ปี จุดประสงค์ของรัฐบาลใหม่ คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากมีการรวมกันปรองดองเรื่องนี้ สว.ไม่ก้าวก่าย และยินดีที่จะได้รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีโดยเร็วที่สุด
เมื่อถามถึงกรณีที่ก่อนหน้านี้ สว. เคยระบุว่า หากพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยไม่มีพรรคก้าวไกลแล้วสว.พร้อมที่จะสนับสนุน แล้วเหตุใดตอนนี้ ถึงมีท่าทีเปลี่ยนใจ นายกิตติศักดิ์ กล่าวว่า จากที่สื่อได้ทราบ จากกรณีที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ที่ถูกเผยแพร่ในสังคม เป็นเรื่องที่มีความน่าสนใจ ตนเองเคยบอกเสมอ ว่าหากไม่มีพรรคก้าวไกลก็จะสนับสนุนให้มีรัฐบาล และนายกรัฐมนตรีเพื่อให้บ้านเมืองเดินต่อไปได้ แต่ขณะนี้มีเรื่องคุณสมบัติส่วนตัวของนายเศรษฐา เดี๋ยวประธานกมธ.พัฒนาการเมืองฯ ซึ่งคือนายเสรี สุวรรณภานนท์ จะบรรจุระเบียบวาระโดยเร็ว เพื่อให้ข้อมูลในส่วนนี้กระจ่างขึ้น เพื่อดูว่านายเศรษฐา บกพร่องทางด้านจริยธรรมหรือไม่ การทำธุรกิจนั้นโปร่งใสตรวจสอบได้หรือไม่ ถ้าหากนายเศรษฐาสามารถเคลียร์ตัวเองได้ ก็ไม่มีปัญหา ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี แต่หากตรวจสอบแล้ว และไม่สามารถตอบคำถามได้ สว.ก็จะตัดสินใจไม่เลือก
เมื่อถามว่า หากเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคที่ 3 หรือพรรคที่ 4 สว. มีความหนักใจหรือไม่ นายกิตติศักดิ์กล่าวว่า ไม่มีความหนักใจ ไม่มีความสบายใจ ทุกคนต้องได้รับการตรวจสอบเหมือนกัน ต้องถูกตรวจสอบจากสว. ในมาตราฐานเดียวกัน