จากกรณีนายเศษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย (พท.) เตรียมส่งทนายความ ยื่นฟ้องเอาผิดนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ต่อศาลอาญารัชดาวันนี้ (7 ส.ค.) เวลา 10.00 น. ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา กรณีออกมาเปิดเผยข้อมูลว่านายเศรษฐา มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการหลบเลี่ยงภาษีการซื้อขายที่ดินของบริษัทแสนสิรินั้น

ล่าสุด นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุข้อความว่า...

วางแผนภาษี หรือ “โกงภาษี”?

จะวางแผนภาษี หรือ “โกงภาษี” มันมีเส้นบางๆ กั้นอยู่ด้วยคำว่า “จริยธรรม”

เรื่องพวกนี้สอนกันไม่ได้เสียด้วย

แม้มีกฎหมาย ระเบียบควมคุม แต่คนมันมีเจตนาจะโกง “แบ่งหน้าที่กันทำ” หลีกเลี่ยงเงินที่สมควรจ่ายให้รัฐถึง 500 ล้านบาท ไม่ยอมจ่ายแม้แต่บาทเดียว

กรมสรรพากรบอกตามแนววินิจฉัยที่ กค 0811/02985 ลงวันที่ 31 มีนาคม 2542

หากคณะบุคคล “ได้ที่ดินมาพร้อมกัน ขายในเวลาพร้อมกัน ให้ผู้ซื้อบริษัทเดียวกัน” ต้องเสียภาษีในนามห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน หรือคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคล

ก็ไปอ้างว่า “ได้มาไม่พร้อมกัน” ทั้งที่แต่ละคน ได้ที่ดินมาจากการแบ่งคืนให้ผู้ถือหุ้น หลังจดทะเบียนเลิก บ. ประไพทรัพย์ จำกัด วันเดียวกันคือ 26 พฤศจิกายน 2561

แต่ “แกล้ง” ทะยอยกันมาโอนรับกรรมสิทธิ์ที่สำนักงานที่ดินทีละคนติดต่อกันทุกวัน

พอตอนขายให้แสนสิริ ก็ “แกล้ง” มาโอนให้แสนสิริคนละวัน

เพื่อให้ดูเหมือนว่า ต่างคนต่างได้มา และต่างคนต่างขายไป ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน ทั้งที่เป็นที่ดินแปลงเดียวกันไม่ได้แบ่งแยกโฉนด

จะได้ไม่เข้าหลักเกณฑ์ห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน หรือคณะบุคคล

คนเป็น “ทนายความ” อย่างคุณนรวิชญ์ แถมยังเป็น “ผู้สมัคร ส.ส.” ด้วย หากคิดจะเติบโตรับใช้ชาติบ้านเมือง ควรที่จะบอกคนทำแบบนี้ “มันไม่เนียน”

เป็นการตีความกฎหมายแบบ “ศรีธนญชัย”

กฎหมายต้องดูที่ “เจตนา” ยิ่งคนเจตนาหลบเลี่ยงภาษี ยิ่งชัดว่าไม่บริสุทธิ์

“โจรใส่สูทปล้น” มันไม่ได้เอาปืนจ่อปล้น แต่เอากฎหมายปล้น

ผู้ใช้กฎหมายทุกท่าน จะต้องแบ่งแยกให้ได้ในเส้นบางๆ ที่มีผลต่างกันมหาศาลว่า

มันไม่ใช่การ “วางแผนภาษี”

แต่นี่คือการ “โกงภาษี” ชัดๆ

คนที่เป็น “นายทุน” มีเจตนาหลบเลี่ยงกฎหมาย ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ไปถึง 500 กว่าล้าน แบบนี้

น่าไว้วางใจเหมาะสมให้เป็น “นายกรัฐมนตรี” ของประเทศไทยหรือไม่?

ไม่ใช่ไป “หนีเสือปะจรเข้”

ประชาชนคนไทยตัดสินได้เองครับ