ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต

“ผลกระทบแห่งชีวิต..ที่ทำให้การก้าวย่างทางความคิดเป็นไปอย่างยากลำบาก..ก็น่าจะเป็นเพราะ..เราต่างถูกผูกมัดอย่างลึกซึ้ง..ให้ตกอยู่ในเงื่อนไขอันจำกัด..มันจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ชีวิตของเราต้องหาทางที่จะเลี่ยงให้หลุดพ้น..ด้วยวิถีใดวิถีหนึ่ง..ซึ่งอาจจะถึงขนาดที่ต้องใช้ มิติของการปฏิวัติ..เพื่อให้พ้นไปอย่างถาวรจากข้อจำกัดอันกวนใจนั้น..”

ความคิดที่น่าใคร่ครวญต่อบทบาทของการมีชีวิตอยู่นี้..เป็นของ “กฤษณมูรติ” ปราชญ์ และ นักคิดอิสระ..คนสำคัญ..ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือที่สุดคนหนึ่งของโลก..ในฐานะครูแห่งจิตวิญญาณของยุคสมัย..

“สิ่งที่ฉันสนใจเพียงประการเดียวก็คือ..ปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระ โดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ..อย่างสิ้นเชิง”..เขาได้มุ่งนำเราไปสู่จุดแบ่งของขอบเขตแห่งการดำรงอยู่แบบ “ทวิลักษณ์” ของเรา..ทั้งในฐานะของปัจเจกชน และทั้งในฐานะ สมาชิกของสังคม..โดยผ่านการตั้งคำถามสำคัญสามข้อ..อันประกอบด้วย..

“เราตอบสนองต่อสังคมที่กำลังแตกสลายได้อย่างไร?/เราจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในตนและในสังคมได้อย่างไร?/และ..สุดท้าย..ปัจเจกภาพที่แท้จริง คืออะไร กันแน่?..” ว่ากันว่า..ด้วยการตั้งคำถามเช่นนี้ เขาเหมือนได้เชื้อเชิญให้เรา เข้าไปตรวจค้นความสัมพันธ์ของเราในฐานะมนุษย์ต่อตัวเราเอง และ ต่อผู้อื่น..ด้วยมุมมองที่เรียกว่า..สดใหม่..!

โดยความเป็นจริงแล้ว....มนุษย์เราส่วนใหญ่มักไม่สนใจที่จะปลดปล่อย.. “จิต” ..ให้เป็นอิสระจากอิทธิพลกำหนด..แต่กลับไปสนใจที่จะกำหนดมันให้ดีกว่าเก่า..ทำให้มันสูงกว่าเก่า.. “ทำนั่นน้อยลง..ทำนี่มากขึ้น” เราแทบไม่เคยสนใจที่จะสอบสวนถึงความเป็นไปได้ ที่จิตจะปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระอย่างสิ้นเชิง

“อิสรภาพจากการถูกกำหนด” ..เกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อเราประจักษ์ถึงความจำเป็น..ว่าจิตต้องไม่ถูกอิทธิพลครอบงำเท่านั้น.. แต่เราก็ไม่เคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้..เราจึงไม่เคยสอบสวน ..เราเพียงยอมรับ..คำแนะนำของผู้ที่เราคิดว่า รู้ดีกว่าเท่านั้น และ ได้มีคนกลุ่มใหญ่ที่ระบุว่า.. “มันเป็นไปไม่ได้ ที่จิตจะไม่ถูกกำหนด”.. ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องกำหนดให้มันดีขึ้นกว่าเก่า..

“ณ ที่ตรงนี้ ผมขอเรียนว่า..จิตสามารถปลดปล่อยจากการถูกกำหนดได้..ไม่ใช่เพื่อให้คุณยอมรับในสิ่งที่ผมพูด..เพราะว่าทำอย่างนั้น มันเป็นความโง่เขลาเกินไป..แต่หากว่าเราไม่สนใจมันอย่างแท้จริงแล้ว..เราก็สามารถค้นหาด้วยตนเองว่า..

เป็นไปได้ไหมที่จิตจะปลดปล่อยจากการถูกกำหนด...ความเป็นไปได้นั้นมีอยู่อย่างแน่นอน..เพียงแต่ขอให้เราได้ตระหนักรู้ว่า..ตนเองถูกอิทธิพลกำหนดอยู่.. และไม่ยอมรับว่า..การถูกอิทธิพลกำหนดเช่นนั้นเป็นสิ่งที่สูงส่ง..เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรมสังคม..

จิตที่ปลดเปลื้องจากการถูกครอบงำแล้วเท่านั้น..จึงจะเป็นจิตแห่งศาสนาที่แท้จริง.. และจิตแห่งศาสนาเท่านั้น ที่มีศักยภาพในการปฏิวัติ..ที่แท้จริงได้..

มาถึงตรงนี้..คำถามสำคัญจึงผูกโยงไปถึง..นัยของการเปลี่ยนแปลง อันสมควรที่จะเกิดขึ้น.. ในเมื่อ..มนุษย์หรือมนุษยชาติ ได้เคยกระทำมาแล้วทุกอย่าง...เพื่อนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง แต่ถึงกระนั้น มนุษย์ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงอย่างขุดรากถอนโคนถึงเบื้องลึกเลย..

เราเป็นอยู่อย่างที่เคยเป็นมานานร่วมสองล้านปีแล้ว.. “ความเป็นส่ำสัตว์กล้าแข็งมากในตัวเรา...ความเป็นสัตว์พร้อมทั้งความตะกละตะกลาม..ความริษยา..ความทะเยอทะยาน ความโกรธ ความเหี้ยมเกรียม ยังคงอยู่อย่างดิ่งลึก ในห้วงแห่งจิตใจของเรา..และเรา ได้ใช้วิถีของศาสนา วัฒนธรรม และ ความศิวิไลซ์ ขัดเกลาในส่วนของภายนอก..เราจึงพอที่จะมีจรรยามารยาทดีขึ้นบ้าง..

บางที ในสองหรือสามคน อาจจะมีกิริยามารยาทดีขึ้น..เรารู้มากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย..โดยทางเทคโนโลยีแล้ว..เราได้ก้าวล้ำไปไกลมาก และเรา สามารถถกเถียงถึงปรัชญาตะวันตกและตะวันออกได้..รวมทั้งวรรณคดี สามารถเดินทางได้ทั่วโลก..แต่ลึกลงไปในก้นบึ้งของจิตใจ  รากเหง้ายังฝังอยู่อย่างเหนียวแน่น..

“เมื่อมองเห็นทั่วถึงทั้งหมด บุคคลหนึ่งซึ่งคือคุณในฐานะที่เป็นมนุษย์ และ ผมในฐานะมนุษย์...เราจะเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร..? ที่แน่ๆ คงไม่ใช่ด้วยการหลั่งน้ำตา  ไม่ใช่โดยการคิดหาเหตุผล ไม่ใช่โดยการทำตามสังคมในอุดมคติ ไม่ใช่โดยภายใต้การปกครองแบบเผด็จการ..และไม่ใช่เพราะความเข้มงวดอันโหดเหี้ยม..ที่ยัดเยียดให้แก่ตนเอง..

ดังนั้น เราต้องละทิ้งสิ่งทั้งหมดนั้น และผมก็หวังว่า คุณได้ละทิ้งสิ่งทั้งหมดนั้นแล้ว..คุณเข้าใจไหม? นั่นคือการละทิ้งความเป็นชาตินิยมของเรา..จารีตของเรา ความเชื่อของเรา..ละทิ้งสิ่งทั้งหลายที่เราถูกอบรมเลี้ยงดูมาให้เชื่อ.. การละทิ้งสิ่งเหล่านี้ทำได้ยากยิ่ง..เราอาจจะเห็นด้วยในเชิงเหตุผล..แต่ในเบื้องลึกภายในจิตใต้สำนึกแล้ว ยังมีการยืนกรานในความสำคัญของอดีต..ซึ่งเรายึดติดอยู่..ทีนี้คุณก็รู้.. “ปัญหา”...

แล้วทีนี้...ความสัมพันธ์ระหว่างตัวคุณกับความทุกข์ระทม ตลอดจนความสับสนทั้งภายในตัวคุณและรอบตัวคุณ คืออะไร?.. แน่นอนว่า...ความสับสนและความทุกข์ระทมนี้..ไม่ได้เกิดขึ้น..เราต่างทำให้มันเกิดขึ้น..ไม่ใช่พวกนายทุนหรือพวกเผด็จการใดๆ..แต่พวกเราได้สร้างมันขึ้นมาระหว่างความสัมพันธ์ของเรา..

“สภาพที่คุณเป็นอยู่ภายในได้สะท้อนออกมาให้เห็นภายนอก..และประทับรอยไว้บนโลก สภาพที่คุณเป็นอยู่ สิ่งที่คุณคิด สิ่งที่คุณรู้สึก สิ่งทั้งหลายที่คุณกระทำในช่วงชีวิตแต่ละวัน ได้สะท้อนออกมาให้ปรากฏข้างนอก..และสิ่งเหล่านั้นก็ประกอบขึ้นเป็นโลก..”

นั่นจึงหมายถึงว่า..สภาพที่เราเป็นอยู่คือสภาพที่โลกเป็น..ปัญหานานาของเราจึงเป็นปัญหาของโลกที่แน่นอน.. “นี่คือความจริงพื้นๆที่ตรงไปตรงมามิใช่หรือ”

ในความสัมพันธ์ของมนุษย์..ระหว่างเรากับบุคคลอื่น..อีกหลายคน..ดูเหมือนว่าเราจะมองข้ามข้อเท็จจริงนี้อยู่ตลอดเวลา เราต่างมุ่งความต้องการไปที่ การก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยอาศัยระบบหรือการปฏิวัติตามแนวคิด..หรือตามคุณค่าที่ตั้งอยู่ บนพื้นฐานของระบบใดสักอย่าง..โดยหลงลืมไปว่า..ผู้สร้างสภาพสังคมนี้ขึ้นมาก็คือพวกเราเอง.. “คุณและผม”

ที่สุดแล้ว..เราจะค้นพบด้วยตนเองว่าสภาพที่เราเป็นอยู่จริงนั้นคืออะไร..เพราะหากเราไม่รู้จักตัวเราเองแล้ว ..เราก็ไม่สามารถที่จะเคลื่อนไปไกลได้..หากไม่รู้เราเป็นเช่นไร..ผ่านทั้งจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก.ไม่รู้ว่าเราคิดอะไร? รู้สึกเช่นไร?

“เราต้องรู้ทันถึงทุกๆความเคลื่อนไหวที่เป็นความคิดและแนวคิด..รู้ในทุกไปความรู้สึกที่เกิดขึ้น..หากไม่เปิดให้เห็นหรือค้นให้พบในกระบวนการเหล่านี้ ก็ย่อมจะ..ไม่เข้าใจถึง แรงจูงใจ แรงขับ แรงบีบคั้น  ความท้อแท้ ความล้มเหลว ความโดดเดี่ยวเดียวดายอันไร้หวัง ความหดหู่สิ้นหวัง..ความหวาดวิตก และความรู้สึกผิด..”

นั่นจะเท่ากับว่า ..เราจะไม่สามารถก้าวไปไกลได้..ซึ่งนี่คือรากฐานการกระทำทั้งหมดนี้จึงจำเป็นต้องมีอิสรภาพ..

อิสรภาพที่ไม่ได้อยู่ ณ จุดสุดท้าย แต่อยู่ ณ จุดเริ่มต้น..เพื่อจะได้มองเห็น.. “ตัวคุณเอง..เท่าที่คุณเป็นอยู่จริง”..

“ปัจเจกชนและสังคม..” นับเป็นหนังสือที่รวบรวมคำสอนในบทตอนแห่งภาวะสำนึกที่.. “กฤษณมูรติ” ได้แสดงไว้ ณ ที่ต่างๆ..ในวันเวลาสำคัญที่แปลกต่างกันออกไป..ด้วยจุดมุ่งหมายของผู้แปล และดำเนินการ จากห้องสมุด “กฤษณมูรติ”ทั้งหมดล้วนคือ.. “จุดคำถามใหม่ที่เกิดขึ้นในใจเรามากมาย”

เนื้อหาทั้งหมดที่รวบรวมไว้นี้ ซึ่งคือข้อท้าทายที่พลิกจิตของเราให้สืบสาวเพื่อค้นคิดกันใหม่..ในเครื่องปัจเจกชนและสังคม..โดยมุ่งเน้นว่า..จิตสำนึกใหม่ที่มีศักยภาพในการปฏิวัตินั้น..เป็นจิตที่ไม่ถูกปิดกั้นและถูกล้อมอยู่ในกรอบของสังคมหรือวัฒนธรรมใด...

ในภาวะที่สังคมประเทศเรา..ถูกติดหล่มด้วยมวลทรรศนะเชิงอคติ..จนแทบจะหมุนกงล้อแห่งสังคมชีวิต จากปัจจุบัน ไปสู่อนาคตได้..หนังสือชุดความคิดชุดนี้..จึงเป็นพลังที่จะผลักดัน และปฏิวัติ จิตสำนึก..ให้หลุดกรอบไปจากความหมักหมมแห่งอคติที่ไร้ค่า..ไปสู่วิถีแห่งพื้นที่ของแสงสว่างทางปัญญาที่ลุกโชน..ต่อๆไป..

“สังคมเรากำลังล่มสลาย และจะต้องมีสถาปนิกคนใหม่..เพื่อสร้างสังคมขึ้นมาใหม่..เราต่างผูกมัดอย่างลึกซึ้ง อยู่ในเงื่อนไขอันจำกัด..ตรงนี้เองคือปัญหาของเรา..เราต่างมองเห็นว่า..สังคมกำลังล่มจมหรือพังพินาศ..เราซึ่งเป็นคุณและผมต้องเป็นสถาปนิก..

แต่หากมองไปยังฟากฝั่งของนักการเมือง และ นักการศาสนา..โดยหวังจะให้เป็นผู้สร้างแล้ว..เราก็ย่อมจะต้องตก อยู่ในสภาพเดิมๆ..เหมือนที่เคยเป็นมาก่อน..."