หลายคนเกิดความกังวลว่าสักวันหนึ่ง ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligent: AI) จะเข้ามาแทนที่มนุษย์ โดยเฉพาะตำแหน่งงานที่ตอนนี้เราก็พอจะเห็นเค้าลางว่ามีหลายอาชีพที่ AI ทำได้ดีกว่ามนุษย์ นั่นหมายความว่า ทำให้มนุษย์หางานได้ยากขึ้น ลูกของเราคงหางานได้ยากมากขึ้นในอีก 20 ปีข้างหน้าด้วยเช่นกัน

แต่ในความเป็นจริงแล้ว เทคโนโลยีเหล่านี้ล้วนถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ และมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของมนุษย์ทั้งสิ้น ดังนั้นเราไม่ต้องกังวลว่าลูกของเราจะฉลาดไม่พอในยุค AI เพราะสมอง คือจุดเริ่มต้นของทุกพัฒนาการของทารก ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษา การโต้ตอบกับพ่อแม่ สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการสมองของทารกในช่วงขวบปีแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำงานของกลไกสมองที่ทำงานร่วมกันในทุกส่วน นักวิทยาศาสตร์เรียกกระบวนการนี้ว่า Brain Connection ยิ่งสมองสามารถเชื่อมโยงผ่านกันได้ไวเท่าไหร่ จะยิ่งทำให้ทารกสมองดี เรียนรู้ได้ไว

- คุณสมบัติที่จะทำให้เด็กเติบโต และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในยุค AI

รู้จักตั้งคำถาม และเลือกข้อมูลที่นำไปสู่คำตอบที่ถูกต้อง ในยุค AI มีข้อมูลมหาศาลอยู่บนอินเทอร์เน็ต เป็นคลังความรู้ขนาดใหญ่ให้กับมนุษย์ ในทางกลับกัน ข้อมูลเหล่านั้นมีทั้งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และข้อมูลที่เป็นโทษปะปนกันไป ทักษะที่เด็กยุคใหม่ต้องมี ไม่ใช่การจำเพื่อตอบคำถามให้ถูกต้องเหมือนในการเรียนแบบเดิมๆ แต่ต้องมีทักษะการตั้งคำถาม และทักษะการค้นหาคำตอบที่ถูกต้อง

มีความยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยน เรียนรู้ไว รู้จักการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลง เพราะในโลกที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว คนที่จะประสบความสำเร็จได้ คือคนที่มีสมองไว มีความยืดหยุ่นและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้ดี

เป็นคนที่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น มีรายงานว่า เด็กยุคปัจจุบันมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นน้อยลง[2]  เพราะสภาพสังคมในปัจจุบัน เด็กๆ เติบโตในครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น ทำให้เด็กขาดโอกาสที่จะฝึกการรับรู้ความรู้สึกและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นเครือญาติหรือคนรอบตัว แต่กระนั้น “ความเห็นอกเห็นใจ” เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องการ แม้ว่าการจ้างงานในอนาคตจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง แต่สิ่งที่นักวิเคราะห์ทั้งหลายมั่นใจคือ งานที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ได้แก่ งานที่ต้องใช้ทักษะการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ดังนั้นเด็กที่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น มีทักษะในการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่น

- วิธีเลี้ยงดูลูกในยุค AI

คุณภาพของการเจริญเติบโตของเด็กเกิดจากการผสมผสานกันระหว่าง พันธุกรรมและการเลี้ยงดู (Nature and Nurture) ในด้านของพันธุกรรมนั้น (Nature) เป็นปัจจัยที่เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่การเลี้ยงดูลูกในช่วงปฐมวัย (Nurture) จะเป็นรากฐานที่สำคัญ และกำหนดโครงสร้างสมองของเด็กแต่ละคน การเลี้ยงดูที่ดี ต้องประกอบด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วน คือ  

1. การให้สารอาหารที่ดีและครบถ้วน  โภชนาการที่ดีในวัยเด็ก คือ นมแม่ ซึ่งอุดมด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการเจริญเติบโต และการพัฒนาสมองในขวบปีแรก ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สมองเรียนรู้ได้เร็วกว่าช่วงเวลาอื่นๆ ของชีวิต เพราะทุกวินาที จะเกิดการเชื่อมต่อของเซลล์ประสาทถึง 1,000,000 เซลล์ ดังนั้นช่วงเวลานี้จึงเป็นโอกาสทองในการพัฒนาสมองของลูก และเป็นรากฐานสำคัญที่จะทำให้การเรียนรู้ต่างๆ ในอนาคตของลูกนั้นดีขึ้นและรวดเร็วขึ้น

นอกจากนี้ ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์สมองที่ก้าวหน้า ทำให้เราค้นพบว่าสารอาหารในนมแม่ เช่น สฟิงโกไมอีลิน มีผลโดยตรงกับการสร้างปลอกไมอีลินของเซลล์สมอง ซึ่งไมอีลินมีความสำคัญในการเพิ่มความเร็วของการส่งกระแสประสาท ทำให้การเรียนรู้ของสมองมีประสิทธิภาพมากขึ้น นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบราวน์  (Brown University) หนึ่งในกลุ่มมหาวิทยาลัยไอวีลีก ซึ่งเป็นกลุ่มของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับแนวหน้าของสหรัฐอเมริกา เปิดเผยผลการวิจัยด้วยการสแกนสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) พบว่า มีสารอาหารต่าง ๆ เช่น สฟิงโกไมอีลิน และดีเอชเอ เป็นหนึ่งในสารอาหารในนมแม่นั้นมีผลต่อการสร้างไมอีลิน และเด็กที่กินนมแม่มีการสร้างไมอีลินที่เร็วกว่าและมากกว่า

2. การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับสมองของลูก  หากต้องการให้ลูกมีคุณสมบัติที่โลกอนาคตต้องการ คือ ต้องเป็นเด็กที่มีสมองไว มีกรอบแนวคิดแบบเติบโต (growth mindset) เพื่อพร้อมรับทุกการเปลี่ยนแปลง และเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ และที่สำคัญเป็นคนใจดี เห็นอกเห็นใจผู้อื่น จะต้องมี หัวใจหลักในการเลี้ยงดูลูก

1) มีสายสัมพันธ์ที่มั่นคงระหว่าง แม่-ลูก ในช่วง 3 ปีแรกเป็นช่วงที่สำคัญที่สุด ที่เด็กสร้างสายสัมพันธ์กับผู้เลี้ยงดู เป็นคนที่ตอบสนองความต้องการทั้งทางร่างกายและจิตใจของเด็ก เมื่อมีสายสัมพันธ์ที่มั่นคงแล้ว เพื่อสร้างความไว้วางใจต่อโลกใบนี้ เพราะรู้สึกปลอดภัย และมั่นคงในใจ เด็กก็พร้อมที่จะออกไปเรียนรู้สิ่งรอบตัว

2) สมองเรียนรู้ผ่านกิจกรรมที่สอดคล้องกับพัฒนาการตามวัย ได้แก่ ในช่วง 6 ปีแรก เป็นช่วงวัยที่เด็กต้องฝึกใช้ร่างกายของตนเองให้เพียงพอ ในทุกมิติ ทั้งเดิน วิ่ง การปีนป่าย กระโดดโลดเต้น ใช้กล้ามเนื้อทุกส่วน ฝึกการใช้นิ้วมือในทุกนิ้วผ่านการเล่น เช่น การปั้นแป้ง การขยำ ฉีก สัมผัส ระบายสีอิสระ (ไม่ใช่การฝึกคัดลายมือ) จะช่วยให้สมองเด็กพัฒนาได้เต็มที่ ที่สำคัญ เด็กที่ได้ใช้ร่างกายของตนเองเต็มที่ จะรู้จักการตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้ตามศักยภาพของตนเอง รู้จักประเมินตัวเองตามสถานการณ์ ได้ฝึกการควบคุม การยับยั้ง ปรับแผน

3) ให้เด็กได้คิดและฝึกแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เมื่อลูกต้องเผชิญกับอุปสรรค หากมิใช่เรื่องที่เป็นอันตราย ลองตอบสนองและเข้าไปช่วยเหลือให้ช้าลงสักนิด เราจะมองเห็น “พฤติกรรมการแก้ปัญหา” ของลูก ซึ่งมีความจำเป็นอย่างมากในการเติบโตของเด็ก พ่อแม่ควรทำหน้าที่เหมือนโค้ช คอยชี้แนะ แต่ไม่ครอบงำ ไม่แย่งแก้ปัญหาของลูก เพราะสิ่งนี้จะเป็นพื้นฐานสำคัญของการยืดหยุ่น และปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญในอนาคต

4) ฝึกให้เด็กมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น โดยการฝึกสะท้อนอารมณ์ให้กับลูก เพราะก่อนที่ลูกจะเข้าใจความรู้สึกผู้อื่นได้ เขาต้องเข้าใจความรู้สึกของตัวเอง วิธีการฝึกสะท้อนอารมณ์ คือเปิดโอกาสให้ลูกได้แสดงอารมณ์ และพ่อแม่สะท้อนอารมณ์ให้ลูกรู้ว่าสิ่งที่รู้สึกอยู่ ณ ตอนนั้น คืออารมณ์เศร้า โกรธ น้อยใจ อิจฉา เป็นต้น

สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสฟิงโกไมอีลิน และสารอาหารที่จำเป็นต่อการพัฒนาสมองของลูกน้อย เข้าชมได้ที่ S-Mom Club ที่เว็บไซต์ https://www.s-momclub.com/ และสามารถสมัครสมาชิกเพื่อปรึกษาทีมพยาบาลผู้เชี่ยวชาญได้ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง