นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.)เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี 2566 ยังมีความท้าทายสูง แม้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยรวมในปีนี้มีโอกาสจะฟื้นตัวได้ตามคาดที่ 29-30 ล้านคน แต่การใช้จ่ายต่อหัวยังต่ำ เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนยังกลับมาไม่เต็มที่ ทำให้การฟื้นตัวของบางจังหวัดท่องเที่ยวยังช้า ขณะที่แรงส่งต่อเศรษฐกิจจากอุปสงค์ภายในประเทศ เผชิญปัจจัยท้าทายมากขึ้น จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวไทยต่อคนยังต่ำกว่าปี 2562 ภาคครัวเรือนยังมีความกังวลต่อภาระค่าครองชีพ และห่วงว่าเศรษฐกิจจะถดถอยมากกว่าประเทศอื่น ประกอบกับความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจปรับลดลง มีความกังวลต่อความยืดเยื้อของสถานการณ์ทางการเมือง การทำงบประมาณรายจ่ายของรัฐ และการชะลอตัวของการส่งออก ที่ประชุม กกร.จึงมีความเป็นห่วง และต้องการเห็นการเข้ามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่โดยเร็ว

โดยในการประชุม กกร.รอบนี้ ที่ประชุมยังคงประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจไทยปี 2566 ไว้ตามเดิม โดยคาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) จะอยู่ที่ 3-3.5% การส่งออกหดตัว -2 ถึง 0% และเงินเฟ้อ 2.2-2.7% ขณะเดียวกันที่ประชุม กกร.ยังเห็นว่าปัญหาภัยแล้งมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นมากกว่าคาด เนื่องจากเมื่อพิจารณาปริมาณน้ำในเขื่อนใช้การได้ ณ เดือนก.ค.66 พบว่า ปริมาณน้ำในเขื่อนอยู่ในระดับวิกฤติ ทั้งในภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันตก และภาคตะวันออก โดยประเมินว่าภัยแล้งปีนี้ อาจสร้างมูลค่าความเสียหายสูงถึง 5.3 หมื่นล้านบาท ดังนั้นต้องให้ความสำคัญต่อการแก้ปัญหาภัยแล้ง และผลกระทบต่อภาคการเกษตรในช่วงปลายปี 2566 จนถึงครึ่งแรกของปี 2567

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยหรือ ส.อ.ท.กล่าวว่า ขณะนี้ภาคเอกชนมีการติดตามและเฝ้าดูในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะออกมาอย่างไร โดยคาดหวังว่าน่าจะจบและเห็นรัฐบาลชุดใหม่ได้ภายในเดือนส.ค.นี้ หากมีรัฐบาลใหม่ได้จริงก็จะทำให้แผนงานกระตุ้นเศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้ โดยเฉพาะในด้านความเชื่อมั่นการลงทุนจากต่างประเทศ การท่องเที่ยวจะกลับมาดีเพิ่มขึ้น ยิ่งยืดเยื้อแม้จะดูว่าท่องเที่ยวดีแต่จะเป็นการท่องเที่ยวแบบใช้จ่ายเงินน้อยลงเพราะไม่มั่นใจการเมือง รวมทั้งเวลานี้ภาคการส่งอออกของไทยก็ติดลบมาถึง 9 เดือนแล้ว หากการจัดตั้งรัฐบาลช้าจะยิ่งทำให้การกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในหลายๆด้านจะกระทบไปด้วย และไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลจากพรรคไหนภาคเอกชนก็พร้อมที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปข้างหน้า