วันที่ 28 ก.ค.2566 มีรายงานความเคลื่อนไหวในการจัดตั้งรัฐบาลและการโหวตนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ว่านายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ได้เดินทางไปพบกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯที่ฮ่องกง ในวันที่ 25 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยมีการพูดคุยกันว่า พรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทย จะต้องร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากต่อไป และพรรคก้าวไกล จะยอมถอยเรื่องการเสนอแก้ไขมาตรา 112 แต่หากยังไม่บรรลุข้อตกลงดังกล่าว ก็อาจจะเกิดม็อบต่อต้านไม่ให้พรรคเพื่อไทย พลิกไปจับขั้วกับพรรคฝ่ายรัฐบาลเดิมขึ้นได้ 

นอกจากนี้มีรายงานว่า ทางด้านนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทย เองได้แสดงความชัดเจนว่า หากจะต้องมีการจับมือกับการเมืองอื่น ๆ ให้มาตั้งรัฐบาลก็ยืนยันว่าจะไม่เอาพรรคพลังประชารัฐและพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มีความเชื่อมโยงกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ดังนั้นเมื่อไม่เอาสองพรรคดังกล่าว และไม่ต้องการพึ่งเสียงสนับสนุนจากสว. จึงต้องอาศัยเสียงจากพรรคภูมิใจไทย ซึ่งมี 71 เสียง เพื่อดึงมาร่วมรัฐบาลได้ เนื่องจากพรรคก้าวไกล ยอมลดเพดาน ไม่แตะม.112 ซึ่งล่าสุดนายเศรษฐาได้เจรจากับทางนายอนุทิน เพื่อให้สนับสนุนในการโหวตนายกฯ นอกจากนี้ยังได้พูดคุยกันเรื่องโควต้าตำแหน่งรัฐมนตรีลงตัวตามเงื่อนไขของพรรคภูมิใจไทย

อย่างไรก็ดี หากใช้สูตรดังกล่าว เมื่อพรรคก้าวไกล ยอมถอยเรื่องม.112  แล้ว ขณะที่อดีตนายกฯทักษิณ ยอมกลับมาติดคุก  ก็จะทำให้มวลชนทั้งคนเสื้อเหลือง ม็อบพันธมิตรฯ และกปปส.ที่เคยต่อต้านนายทักษิณก็คงจะไม่ออกมาเคลื่อนไหว แต่ปัญหาที่นายทักษิณ ยังติดขัดและต้องพิจาณาคือการเข้ามาประเทศไทยแล้วต้องมารับโทษ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และอาจต้องถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำยาวนานนั้น จะเป็นผลดีต่อตัวเองหรือไม่