ความชัดเจนในการเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ดูว่าจะยังไม่จบในเวลาอันใกล้ เนื่องจากติดบ่วงปัญหาของการรวมเสียงในสภาผู้แทนราษฎร ที่ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่ยากจะฝ่าฟันไปได้ง่าย!!!

ซึ่งเวลานี้ การที่ประเทศไทยยังไม่สามารถแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ได้ การที่จะแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อไปประจำกระทรวงต่างๆ ก็ไม่สามารถทำได้!

ยังคงต้องขับเคลื่อนประเทศไปในรูปแบบคณะรัฐมนตรีรักษาการต่อไป!!!

หากมองว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ ก็สามารถทำได้ แต่การขับเคลื่อนในการลงทุนต่างๆ ที่ต้องใช้เงินจำนวนมาก จะไม่สามารถทำได้สะดวกรวดเร็ว เพราะเป็นมารยาททางการเมือง ที่ไม่สามารถทำงบประมาณผูกพันไปยังคณะรัฐมนตรีชุดใหม่

และเมื่อเป็นเช่นนี้ การขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ จะมีปัญหาอย่างมาก เพราะนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ จะไม่มีความเชื่อมั่นในการที่จะนำเงินมาลงทุน เนื่องจากกังวลในความชัดเจนของนโยบายรัฐบาลใหม่ว่าจะเป็นอย่างไร จะสนับสนุน หรือ ชะลอการลงทุน ทุกอย่างย่อมเกิดขึ้นได้!!!

ในมุมมองของนักธุรกิจ และลงทุน “เกรียงไกร เธียรนุกุล” ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เห็นว่า ภาคเอกชนติดตามการจัดตั้งรัฐบาลอย่างใกล้ชิด ซึ่งคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ยืนยันอยากให้เป็นไปตามไทม์ไลน์เดิม คือในสิงหาคมนี้ สิ่งสำคัญต้องการรัฐบาลเสียงข้างมาก มีเสถียรภาพ ประชาชนส่วนใหญ่ยอมรับ ขณะที่กรณีที่พรรคก้าวไกลเสนอให้ 8 พรรคผนึกกำลัง เพื่อรอให้สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) สิ้นสุดวาระใน 10 เดือน จะมีผลกระทบต่อการลงทุนแต่จะมากน้อยเพียงใด ส.อ.ท.อยู่ระหว่างการศึกษาในภาพรวม

“เอกชนก็อยากให้ได้รัฐบาลใหม่ หากล่าช้าก็จะกระทบในหลายๆเรื่อง กรณีให้รออีก 10 เดือน ผมได้มอบให้นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานส.อ.ท.ไปศึกษาผลกระทบในทุกด้าน แต่หากถามรอได้หรือไม่ นักลงทุนแต่ละชาติรอได้ไม่เท่ากัน อาทิ นักลงทุนไทยบางส่วนอาจรอได้ 6 เดือนถึง 1 ปี แต่นักลงทุนต่างชาติ ที่ไม่คุ้นเคยการเมืองไทย เช่น สหรัฐฯและสหภาพยุโรป คงไม่รอ ส่วนนักลงทุนญี่ปุ่นที่ลงทุนในไทยมานาน จนเข้าใจสถานการณ์ ก็อาจรอได้ ดังนั้นเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องศึกษา เพราะเศรษฐกิจของประเทศไทย เปราะบางอยู่แล้วจากผลกระทบของเศรษฐกิจโลก”

อีกทั้งล่าสุด ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับ 94.1 เพิ่มขึ้นจาก 92.5 จากเดือนพฤษภาคม เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นในรอบ 3 เดือน โดยค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกองค์ประกอบ ทั้งดัชนีคำสั่งซื้อโดยรวมยอดขาย โดยปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของความต้องการบริโภคในประเทศ ทั้งภาคเอกชนและการท่องเที่ยว แต่ผู้ประกอบการกังวลเรื่องปัญหาหนี้ครัวเรือนที่กดดันกำลังซื้อในประเทศ

“โจทย์ใหญ่ของรัฐบาลใหม่ที่ต้องเร่งเข้ามาแก้ไขคือปัญหาเศรษฐกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ถดถอยที่กระทบต่อการส่งออกของไทย ที่ปีนี้มีแนวโน้มเติบโต 0 ถึง -2% แม้ว่าการท่องเที่ยวจะฟื้นตัว แต่หากการเมืองไม่นิ่ง จนนำไปสู่การประท้วง อาจฉุดความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวไม่เข้ามาไทยในปลายปีที่เป็นไฮซีซั่น”

ขณะที่ “มนตรี มหาพฤกษ์พงศ์” รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ภาคธุรกิจอยากเห็นความมีเสถียรภาพทางการเมือง กรณีที่เสนอแนะให้รออีก 10 เดือนคงรอไม่ไหวเพราะเศรษฐกิจไทยต้องมีมาตรการมาช่วยขับเคลื่อนที่ต้องอาศัยงบประมาณโดยเฉพาะงบปี 2567 หากจัดตั้งรัฐบาลล่าช้างบก็ล่าช้าออกไป มองว่าใครมาเป็นรัฐบาลก็ได้ ขอให้มีเสถียรภาพ และเข้าใจเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย

เช่นเดียวกับ “สนั่น อังอุบลกุล” ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า มุมมองหอการค้า ประเมินสถานการณ์ได้ 2 กรณี ในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ดังนี้ กรณีที่ 1.หากไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ทันที และลากยาวไป 10 เดือน ถึง 1 ปี ก็ทำให้รัฐบาลรักษาการยังคงบริหารประเทศไปพรางระหว่างนี้ แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดคือรัฐบาลรักษาการจะไม่สามารถใช้นโยบายกระตุ้นทางเศรษฐกิจได้ ซึ่งเศรษฐกิจไทยคงต้องฟื้นตัวตามธรรมชาติตามภาพรวมเศรษฐกิจโลก ทั้งการท่องเที่ยว และส่งออกที่ยังต้องรอลุ้นตัวเลขว่า จะสามารถพลิกกลับมาบวกในปีนี้ได้หรือไม่ ส่วนการลงทุนในประเทศจะชะลอตัวจากการรอความชัดเจนของทิศทางนโยบายรัฐบาล โดยคาดว่าประเทศจะขาดการลงทุนใหม่หลายแสนล้านบาทในช่วง 10 เดือนถึง 1 ปี และประเมินว่าอาจทำให้จีดีพีหายไป 1-2% ซึ่งถือเป็นการสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจมหาศาล

กรณีที่ 2 กรณีการจัดตั้งรัฐบาลทันที จากพรรคการเมืองที่ผ่านการเลือกตั้งที่สามารถรวบรวมเสียงข้างมากได้ ทำให้เกิดรัฐบาลใหม่ที่ได้ฉันทามติจากทั้ง ส.ส.และ ส.ว. รวมทั้งกระบวนการจัดตั้งรัฐบาลยังถือว่าอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งส่วนนี้จะช่วยให้เกิดความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งเศรษฐกิจไทยจะมีโอกาสเติบโตได้ 3.5 หรือใกล้เคียง 4% ภายใต้รัฐบาลที่เข้มแข็ง

เมื่อเป็นเช่นนี้!!! ก็ได้แต่หวังว่าประเทศไทยจะได้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 โดยเร็ว เพราะ “การเมือง เศรษฐกิจ ปากท้องชาวบ้าน” แยกกันไม่ออกจริงๆ