เมื่อเวลา 15.15 น. วันที่ 25 ก.ค. 66 ที่อาคารไทยซัมมิททาวเวอร์ นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวก่อนการประชุมสส. ของพรรค ถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทย ได้แจ้งยกเลิกการประชุม 8 พรรคร่วมรัฐบาลในวันนี้อย่างกระทันหัน ว่า ตนได้รับแจ้งจากพรรคเพื่อไทยว่า ภารกิจที่ได้รับมอบหมายยังไม่คืบหน้าเท่าที่ควร ส่วนจะมีการนัด 8 พรรคร่วมหารือกันอีกครั้งเมื่อไหร่นั้น ทางพรรคเพื่อไทยยังไม่แจ้งมา ประกอบกับคิดว่า จะมีการเลื่อนประชุมรัฐสภาวาระพิจารณาบุคคลผู้จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ในสัปดาห์นี้ ล่าสุดได้รับแจ้งจากทางสภาว่าการประชุมวิป 3 ฝ่าย ที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ ก็ของดไปแล้ว ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา จะเลื่อนวันประชุมในวันที่ 27 ก.ค.นี้ด้วย แต่จะด้วยเหตุผลใดนั้น ยังไม่ได้รับการแจ้ง

เมื่อถามถึงท่าทีของ 8 พรรคร่วมรัฐในขณะนี้ ยังคงจับมือกันเหนียวแน่นใช่หรือไม่ เนื่องจากมีข่าวหรือว่า ”ข้าวต้มมัดปริ” นายชัยธวัช กล่าวยืนยันว่า อย่าเพิ่งรีบสรุปแบบนั้น 

เมื่อถามถึงกรณีที่พรรคไทยสร้างไทย ออกมาแถลงคัดค้านการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ตามเอ็มโอยู จะเป็นการส่งสัญญาณอะไรหรือไม่ นายชัยธวัชกล่าวว่า ตนคิดว่า สิ่งที่เราได้คุยกันมาโดยตลอด ตั้งแต่ตอนลงนามเอ็มโอยู ซึ่งในเรื่องการแก้ไข ม.112 นั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการลงนามร่วมของ 8 พรรคร่วมอยู่แล้ว 

เมื่อถามถึงกรณีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ขอให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ในการทำเอ็มโอยูใหม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ต้องรอฟังจากพรรคเพื่อไทยดีกว่า ซึ่งทางพรรคเพื่อไทยก็ยังไม่ได้ส่งสัญญาณอะไรมา 

นายชัยธวัช ยังเปิดเผยด้วยว่า มีสัญญาณที่ดีจากสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ว่าอาจจะมีผู้โหวตเห็นชอบมากกว่าเดิม หากมีการเปลี่ยนตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และยืนยันว่า พรรคก้าวไกลจะพยายามให้ดีที่สุด เพื่อจัดตั้งรัฐบาลตามเจตจำนงของประชาชน 

เมื่อถามถึงกรณีที่ สส.ของพรรคก้าวไกล ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคดีของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย แสดงว่าไม่สามารถร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทยได้ใช่หรือไม่  นายชัยธวัช กล่าวว่า ตามที่พรรคเพื่อไทยชี้แจง ว่า เชิญมาหารือ ยังไม่ใช่การเชิญร่วมรัฐบาล 

นายชัยธวัช ยังมั่นใจด้วยว่า หากพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกลยังจับมือกันแน่นอยู่ จะไม่มีการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยได้ และสิ่งที่จะทำให้การจับมือเป็นไปได้ คือ ประชาชน 

ส่วนกรณีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ ออกมาเปิดเผยว่าพรรคก้าวไกลได้เคยเสนอให้ตนเป็นรองนายกฯ เพื่อแลกกับการร่วมรัฐบาล นายชัยธวัช กล่าวว่า เป็นช่วงต้นของการจัดตั้งรัฐบาล แม้พรรคเสรีรวมไทยจะมีเพียงเสียงเดียว แต่ได้ให้เกียรติกัน เพราะเห็นว่าเป็นผู้ใหญ่ และมีประสบการณ์ จึงคิดว่าสามารถมาช่วยภารกิจรัฐบาลได้ โดยเฉพาะในด้านการปราบปรามกระทำผิดกฏหมายที่สำคัญ 

สำหรับกรณีที่พล.ต.อ. เสรีพิสุทธิ์ ออกมาระบุว่า พรรคก้าวไกลต้องเสียสละ นายชัยธวัช กล่าวว่า อยู่ที่การหารือของ 8 พรรคร่วมรัฐบาล ไม่ได้กังวลต่อท่าทีของพล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์  

เมื่อถามถึงกรณีผู้ตรวจการแผ่นดินยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยการตีความข้อบังคับการประชุมที่ 41 ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา เมื่อวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมานั้น ในวาระการเสนอชื่อผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ถือเป็นญัตติ และทำให้ไม่สามารถเสนอชื่อซ้ำได้ โดยล่าสุดศาลรัฐธรรมนูญได้มีการรับคำร้องผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์แล้วนั้น นายชัยธวัช ยืนยันว่า พรรคก้าวไกลไม่เห็นด้วย กับการให้ศาลตีความ เพราะถือว่าอยู่ในอำนาจของรัฐสภา จึงเป็นเหตุให้ ไม่มี สส.พรรคก้าวไกลไปยื่นเรื่องนี้ ทั้งนี้ เชื่อว่าสภายังคงมีทางออก หากศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้อง สามารถใช้ระบบสภามาหารือร่วมกันได้ ไม่จำเป็นต้องใช้ช่องทางศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น 

เมื่อถามถึงกรณีมีข้อเสนอให้รอสว.หมดวาระก่อน แล้วจึงทำการเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลาอีก 10 เดือน นายชัยธวัช กล่าวว่า เป็นการแสดงออกถึงว่ามีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่รอได้ แต่ 10 เดือน มันอาจจะนานเกินไป ทางที่ดีควรมีทางออกโดยที่ไม่ยืดเวลาออกไปนานขนาดนั้น ซึ่งการปลดล็อคข้อบังคับที่ 41 จะช่วยได้มาก 

"ตราบใดที่พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกลจับมือกันแน่น รัฐบาลเสียงข้างน้อยจะไม่มีทางเกิดขึ้น และถึงที่สุดสว.อาจจะมีวิจารณญาณทำตามเสียงประชาชน" นายชัยธวัช กล่าว

เมื่อถามว่า หากถึงที่สุดพรรคก้าวไกลต้องเสียสละไปเป็นฝ่ายค้าน จะเลือกเดินออกไปเอง หรือให้พรรคเพื่อไทยเป็นผู้เชิญออก นายชัยธวัช กล่าวว่า หากเมื่อถึงสถานการณ์นั้นจริง เป็นสิทธิ์ของพรรคเพื่อไทยที่จะต้องเลือก ส่วนสิ่งที่พรรคก้าวไกลเลือก คือพยายามทำให้ดีที่สุด ให้การจัดตั้งรัฐบาลเป็นไปได้ตามเสียงของประชาชน