วันที่ 25 ก.ค. 66 ที่รัฐสภา นายเสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) อภิปรายต่อที่ประชุมวุฒิสภาในวาระรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงิน สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และรายงานการประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สิน สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 2564 ตอนหนึ่ง โดยตำหนิการทำงานของผู้ตรวจการแผ่นดิน กรณีที่รับคำร้องของประชาชน 17 คำร้อง และยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยการประชุมรัฐสภา เมื่อวันที่ 19 ก.ค. ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ และขอให้สั่งให้รัฐสภาหยุดการเลือกนายกฯ ไปจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัย ว่า ตนมองว่าผู้ตรวจการแผ่นดินไม่มีสิทธิยื่นคำร้องดังกล่าวด้วยซ้ำ และข้อมูลที่ยื่นดังกล่าวเป็นเพียงข้อมูลด้านเดียว ที่ระบุเหมือนกับคณาจารย์ 115 คนที่ให้ข้อมูลผิดๆ และสร้างความสับสน ว่า ข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อ41 นั้นใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญ ทั้งที่ข้อเท็จจริงนั้นไม่ใช่ และการพิจารณาของรัฐสภา เมื่อ 19 ก.ค. นั้น คำถามที่เกิดขึ้นในที่ประชุมชัดเจน ว่าเป็นประเด็นการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ที่ไม่ผ่านความเห็นชอบซ้ำได้อีกหรือไม่
“ผู้ตรวจการแผ่นดินให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน และเน้นประเด็นว่าข้อบังคับใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญ ทำให้สังคมเข้าใจผิดสับสน ทั้งที่รายละเอียดของการประชุมนั้นไม่ใช่ อีกทั้งยังมีคนวิจารณ์ประธานรัฐสภา เสียๆ หายๆ ว่าไม่กล้าตัดสินใจทั้งที่ประธานรัฐสภาทำถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ และข้อบังคับแล้ว ดังนั้น ผมขอให้เอาข้อมูลไปบอกกรรมการผู้ตรวจการแผ่นดิน ว่าสิ่งที่ทำนั้นไม่ครบถ้วน และสิ่งที่ทำนั้นท่านไม่มีสิทธิยื่นด้วยซ้ำ” นายเสรี กล่าว
นายเสรี กล่าวด้วยว่า แต่เมื่อผู้ตรวจการแผ่นดินทำไปแล้ว อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาตนไม่ก้าวล่วง แต่ตนเป็นห่วงการทำงานหลังจากนี้ ว่าจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ คุ้มค่ากับงบประมาณที่จัดสรรให้แต่ละปีหรือไม่การทำงานต้องไม่ทำตามกระแส หรือมีคนยื่น 17 เรื่องเป็นกระแสกเดันให้ต้องส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ตนเข้าใจว่าอาจกลัวทัวร์ลง แต่การทำงานต้องมีมาตรฐาน เพื่อให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย และยึดมั่นรัฐธรรมนูญที่แบ่งอำนาจหน้าที่ไว้ เป็นฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ
“เมื่อฝ่ายนิติบัญญัติทำหน้าที่ในสภา ใช้ดุลยพินิจของสมาชิกปัจจุบันที่ทำงานร่วมกัน 750 คน การทำหน้าที่ในรัฐสภาเป็นอำนาจสูงสุดของประเทศ เป็นอำนาจอธิปไตยของชาติ ต้องมีดุลถ่วงอำนาจซึ่งกันและกัน ดังนั้น สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 230 และ มาตรา 231 กำหนดชัดเจนว่าต้องแก้ปัญหาใน 2-3เรื่องเท่านั้น แต่ไม่มีอำนาจตรวจสอบการใช้อำนาจสูงสุดของประเทศ คือ มติของรัฐสภา ไม่เช่นนั้นการใช้อำนาจอาจเกิดปัญหากับชาติได้ การตัดสินเรื่องใด ผู้ตรวจการแผ่นดินต้องกลั่นกรอง ตรวจสอบอย่างมีประสิทธิภาพ มีความรู้ ความสามารถว่าเรื่องใดขัดกับรัฐธรรมนูญ หรือขัดกับหลักแบ่งแยกอำนาจหรือไม่” นายเสรี กล่าว
นายเสรี กล่าวด้วยว่า ตนกังวลว่าหากหากรัฐสภาทำงานต่อไป มีนักการเมืองไม่พอใจแล้วยื่นผู้ตรวจการแผ่นดิน เมื่อยื่นเยอะ กลัวทัวร์ลงจึงส่งไปศาลรัฐธรรมนูญ การทำงานควรมีกรอบ ซึ่งตนมองว่ากรณีที่ผู้ตรวจการแผ่นดินขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งรัฐสภาหยุดการเลือกนายกฯ รอบ 3 ไว้ก่อน จะเป็นไปได้อย่างไร เพราะบ้านเมืองต้องมีนายกฯ ต้องมีรัฐบาล กรณีที่ผู้ตรวจการแผ่นดินทำนั้น ทำให้บ้านเมืองเสียหาย ตนไม่ห้ามการใช้ดุลยพินิจ แต่ขอติงว่ากรณีที่ขอให้รัฐสภาไม่ทำหน้าที่ต่อนั้น ไม่ใช่งานของผู้ตรวจการแผ่นดิน และหากจะบอกว่าเป็นเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่ถูกละเมิด ตนมองว่าเรื่องนี้ไม่ใช่สิทธิเสรีภาพโดยตรงของประชาชน
ขณะที่นายทิฆัมพร ยะลา รองเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ชี้แจงว่า จากการทำงานของผู้ตรวจการแผ่นดินที่ผ่านมา มีการประเมินชี้วัดต่างๆ ซึ่งสถาบันพระปกเกล้าประเมินผลงานอยู่ที่ 62% ถือว่าสูงสุดในองค์กรอิสระ และเป็นพยานยืนยันว่าทำงานมีประสิทธิภาพ สำหรับการส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญนั้น ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาบนข้อกฎหมาย ระเบียบ และปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่าคำร้องที่ยื่นนั้น มีองค์ประกอบครบถ้วน ส่วนเรื่องที่ขอให้ชะลอเลือกนายกฯ นั้น มองว่าหากศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า ข้อปฏิบติตามมติรัฐสภา หากขัดหรือแย้ง อาจมีผลเสียงกับการเลือกกนายกฯได้ จึงยื่นไปยังศาลรัฐธรรมนูญด้วย ส่วนศาลจะพิจารณาแล้วแต่ศาลรัฐธรรมนูญ