สจล.สนับสนุนสตาร์ทอัพไทย ‘มีล็อก’MELOG) พัฒนาและเปิดแพลตฟอร์มโลจิสติกส์และรถขนส่งครบวงจร โดยการบ่มเพาะของเครือข่ายร่วมพัฒนาผู้ประกอบการ (TED Fellow) ภายใต้การดำเนินงานของ สำนักบริหารงานวิจัยและนวัตกรรมพระจอมเกล้าลาดกระบัง (KRIS) เผยจุดเด่นเฟสที่ 1 ตอบโจทย์ผู้ประกอบการในตลาดธุรกิจรถขนส่งไทย 1.5 ล้านคัน ช่วยคำนวณต้นทุน เส้นทาง ติดตามสถานะ และบริหารจัดการด้วยข้อมูลทันสมัย ลดต้นทุน เพิ่มกำไรและยกระดับขนส่งไทย เฟสที่ 2 จะนำแมชชีนเลิร์นนิ่งและเอ.ไอ.มาใช้ในระบบ

ผศ.ดร.รัชนี กุลยานนท์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.)  กล่าวว่า  สถานการณ์โลจิสติกส์และรถขนส่งในปัจจุบัน ตลาดผู้ให้บริการโลจิสติกส์ในภูมิภาคอาเซียนกำลังเติบโตสูง ประมาณปีละ 15 - 20% ทำให้ธุรกิจนี้น่าสนใจ ด้วยปริมาณรถบรรทุกในไทยที่จดทะเบียนในระบบมากกว่า 1.5 ล้านคัน  สจล.จึงได้ส่งเสริมสตาร์ทอัพ ‘มีล็อก’MELOG) พัฒนาแพลตฟอร์มโลจิสติกส์และรถขนส่งครบวงจร โดยได้รับการสนับสนุนทุนจากโครงการยุววิสาหกิจเริ่มต้น (TED Youth Startup) ของกองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (TED FUND) นับเป็นโอกาสของสตาร์ทอัพบริการโลจิสติกส์ในประเทศไทย โดยสอดคล้องกับแนวทาง สจล.ในการส่งเสริมผู้ประกอบการใหม่ (Startup) และการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีมาพัฒนาบริการและยกระดับผู้ให้บริการขนส่งสู่พลังความเข้มแข็ง (Synergy) ตลอดจนธุรกิจโลจิสติกส์ของประเทศให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน

                

คุณสิริพงศ์ จึงถาวรรณ ผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพ และ ผอ.ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท มีล็อก จำกัด (MELOG) กล่าวถึงแรงบันดาลใจและที่มาของ ‘มีล็อก’ (MELOG)  นวัตกรรมแพลตฟอร์มโลจิสติกส์และรถขนส่งครบวงจร ว่า ในช่วงเรียนปริญญาเอกด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน ที่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ได้สำรวจและศึกษาข้อมูลเชิงลึกจากผู้ประกอบการขนส่งกว่า 200 ราย แล้วพบว่า ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ (Logistics Service Provider: LSP) ส่วนใหญ่มีกำไรน้อยเพียง 1 – 5% ผู้ให้บริการขนส่งบางรายยอดขายกว่า 1,000 ล้านบาท แต่กำไรเพียง 10 ล้านบาท เพราะธุรกิจนี้แข่งขันด้านราคากันอย่างรุนแรง อีกทั้งการขยายตัวและแข่งขันของ Marketplace และ E-Commerce มีการทุ่มตลาดของผู้เล่นรายใหญ่ การจัดโปรขนส่งฟรี ทำให้ผู้เป็นเจ้าของรถขนส่งได้กำไรน้อยลง หรือประสบการขาดทุน

โดย ‘มีล็อก’ (MELOG)  จึงมีความมุ่งมั่นพัฒนาเป็นแพลตฟอร์ม ‘มีล็อก’ (MELOG)   ที่ตอบโจทย์ธุรกิจบริการขนส่งยุคใหม่ โดยมุ่งแก้ปัญหาหลัก 3 ด้าน ของผู้ประกอบการขนส่ง ได้แก่ 1). การบริหารต้นทุนขนส่ง (Cost) เพราะต้นทุนขนส่งกว่า 60% มาจากต้นทุนด้าน เชื้อเพลิง ยาง น้ำมันเครื่อง การซ่อมบำรุง และการเกิดอุบัติเหตุ ถ้าสามารถลดต้นทุน บาท/กิโลเมตร ได้ ผู้ประกอบการก็จะมีกำไรมากขึ้น จากการนำเทคโนโลยีมาช่วยอำนวยความสะดวก เหมือนโปรแกรม ERP ในโรงงานอุตสาหกรรม

2). การติดตามสถานะ (Status) ทำให้ผู้เป็นเจ้าของไม่ต้องกังวลใจกับพนักงานขับรถ รถบรรทุก และสินค้าที่จะต้องส่งไปยังจุดหมายปลายทางให้ตรงเวลา เรานำเทคโนโลยีโลจิสติกส์ (LogTech) มาช่วยในการติดตามสถานะและอัพเดทได้ตลอดเวลา รวมไปถึงศึกษาพฤติกรรมของผู้ขับขี่รถบรรทุก 3). การจัดการที่ทันสมัย (Management) เพื่อยกระดับภาคการขนส่งที่เราพบว่าผู้ประกอบการ 25,500 ราย มากกว่า 98% ยังไม่ได้รับรองมาตรฐาน Q-Mark โดยมีเพียง 2% เท่านั้นที่ได้รับการรับรอง รวมไปถึงการต่อยอดด้านบริการการเงิน เพื่อให้เครดิตสกอร์สำหรับผู้ขับรถมืออาชีพ จะสามารถนำเงินมาหมุนในธุรกิจได้

บริการในเฟสที่ 1 มีระบบติดตามรถบรรทุก สามารติดตามรถบรรทุกได้ว่าจะวิ่งไปที่ใดบ้าง จอดหลายๆ จุด (Multidrop) คำนวณต้นทุน บาท/กิโลเมตร การใช้ความเร็วที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ การใช้ยาง การแจ้งเตือนการซ่อมบำรุง และติดตามรถในกองยานพาหนะทุกคัน รวมไปถึงการสรุปรายได้ในแต่ละเดือน และการควบคุมมาตรวัดที่สำคัญในงานโลจิสติกส์  และขยายบริการ  Marketplace ฝั่งลูกค้าที่ต้องการหาผู้ขนส่งเข้าไปรับของจะโพสงานได้ ฝั่งความต้องการ (Demand) และอีกด้านจะเป็นฝั่งอุปทาน (Supply) เจ้าของรถ และตัวแทน ก็สามารถเข้ามาโพสรับงานได้ ดูระยะทาง ประเภทรถ และค่าบริการในระบบ ต่อยอดไปถึงการบริหารรถ และการจัดการงานซ่อมบำรุง-จัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ โดยนำพันธมิตรมาทำงานร่วมกัน เช่น ผู้ผลิตยาง ผู้ผลิตน้ำมันเครื่อง ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถบรรทุก ฯลฯ       

คุณสิริพงศ์ จึงถาวรรณ กล่าวถีงแผนการตลาดว่า ตลาดเทคโนโลยีโลจิสติกส์ทั่วโลกนั้นมีมูลค่ากว่า 5 แสนล้านบาท หลายแอพพลิเคชั่นดังๆของโลกมีคนไทยอยู่เบื้องหลัง สำหรับบริการรถขนส่งของไทยมีมูลค่า 1 แสนล้านบาท ส่วนตลาดเทคโนโลยีโลจิสติกส์ในประเทศไทยมีมูลค่า 3,500 ล้านบาท ‘มีล็อก’ (MELOG)  ตั้งเป้าหมาย 200 ล้านบาท โดยมุ่งกลุ่มเป้าหมายลูกค้าผู้มีรถบรรทุก ที่ในวงการเรียกว่า ‘เถ้าแก่น้อย’ซึ่งในประเทศไทยมีจำนวนกว่า 100,000 ราย และผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์กว่า 25,500 ราย รวมไปถึงรถบรรทุกที่จดทะเบียนกับกรมการขนส่งกว่า 1.5 ล้านคันได้แก่ รถบรรทุก รถกระบะ รถตู้ การสร้างรายได้ มี 4 รูปแบบคือ 1.กลุ่มลูกค้ารายย่อย (B2C) แบบเช่าระบบ อัตรา 500–1,200 บาท/คัน (ขึ้นกับ Feature ที่ใช้) 2.กลุ่มลูกค้าองค์กร (B2B) อัตรา 50,000 – 70,000 บาท/องค์กร และมีการดูแลระบบรายปี 3.รายได้ตัวแทน (แบ่งจากการจับคู่งาน) ซึ่งจะมีทีมพัฒนาธุรกิจจัดหางานมาให้ และดูแลเรื่องทีมรถบรรทุกเขารับงานตามสัญญาว่าจ้างเป็นโครงการๆไป 4.การฝึกอบรมและให้คำปรึกษา พัฒนาระบบขนส่งและบุคลากรให้เป็นพนักงานมืออาชีพ (Smart Driver)

โดยในตลาดส่วนใหญ่จะไปพัฒนาส่วน ‘ปลายน้ำ’ เรามองกลับไปเริ่มที่ ‘ต้นน้ำ’ ช่วยพนักงานขับรถ เจ้าของรถ และผู้ต้องการจ้างงาน ติดตามและควบคุมต้นทางว่าจะจัดส่งสินค้าอย่างไรให้ปลอดภัย ต้นทุนกี่บาทต่อกิโลเมตร ทำให้ผู้ประกอบการสามารถทราบต้นทุน และกำไรที่แท้จริง เที่ยวต่อเที่ยว และต่อยอดไปยังการบริหารกระแสเงินสด และการนำเงินไปใช้ในการดำเนินธุรกิจ หรือองค์กรที่มีรถบรรทุกของตัวเองก็สามารถนำระบบ ‘มีล็อก’ (MELOG)  นี้ไปติดตามรถบรรทุกในกองยานพาหนะของตนเองได้ เสมือนเป็น Mini-ERP ของธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ นอกจากนี้ในอนาคต‘มีล็อก’ (MELOG)  ยังรองรับการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยียานยนต์จากการใช้เชื้อเพลิงน้ำมัน ไปสู่ ‘รถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า’ อีกด้วย

ขณะที่แผนในอนาคต เฟสที่ 2 บริษัท มีล็อก จะนำระบบเครื่องจักรที่เรียนรู้ได้ (Machine Learning) และปัญญาประดิษฐ์( AI) เข้ามาช่วยให้ระบบศึกษาและวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ขับรถบรรทุก ลักษณะเส้นทาง การวิ่ง การทำเวลา รวมไปถึง การคาดการณ์ด้านการขนส่ง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยยกระดับมาตรฐานของวงการโลจิสติกส์ในประเทศไทยให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น