น.ส.สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)เปิดเผยว่า หนี้ครัวเรือนในส่วนที่ต้องเร่งแก้ไขก่อนคือ หนี้เรื้อรัง ซึ่งเบื้องต้นที่มีอยู่ 5 แสนบัญชี คาดว่าจะเริ่มบังคับใช้มาตรการตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.67 เป็นต้นไป โดยแนวทางแก้ไขคือ ถ้าเป็นกลุ่มหนี้เรื้อรังนาน 3 ปีย้อนหลัง ลูกหนี้จะได้รับแจ้งเตือนแนะนำให้ชำระหนี้ต่อเดือนให้มากขึ้น เพื่อลดภาระดอกเบี้ย และปิดจบหนี้เร็วขึ้น ส่วนกลุ่มหนี้เรื้อรังรุนแรง 5 ปีย้อนหลัง เป็นลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์และกลุ่มธุรกิจ มีรายได้น้อยกว่า 20,000 บาทต่อเดือน, ลูกหนี้นอนแบงก์รายได้น้อยกว่า 10,000 บาท จะได้รับดอกเบี้ยไม่เกิน 15% ต่อปี ต้องจบหนี้ภายใน 5 ปี

สำหรับเงื่อนไขแก้หนี้เรื้อรัง หากเข้ามาตรการจะไม่สามารถเบิกเงินเพิ่มได้จนกว่าจะปิดจบหนี้ ยกเว้นกรณีฉุกเฉิน และรายงานประวัติข้อมูลเครดิตบูโรว่าเข้าปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้มาตรการ ซึ่งหนี้เรื้อรัง เป็นสินเชื่อส่วนบุคคลวงเงินหมุนเวียน เช่น บัตรกดเงินสด สัญญาเงินกู้เบิกจ่ายได้เรื่อยๆ เป็นลูกหนี้ปกติแต่ปิดจบหนี้ไม่ได้ และไม่กำหนดขั้นต่ำ ลูกหนี้จ่ายแต่ดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้น และเพดานดอกเบี้ย 25% ต่อปี หากจ่าย 2% โอกาสตัดเงินต้นไม่มี ถ้ากำหนดจ่ายขั้นต่ำ 3-4% จะมีโอกาสตัดเงินต้นได้บ้าง สิ่งที่ต้องการคือให้ลูกหนี้จ่ายปิดจบได้เร็วขึ้น มีโอกาสปิดหนี้ภายใน 1 ปี จะประเมินผลกระทบจากการเข้าร่วมมาตรการว่ามีมากน้อยเพียงใด เพื่อปรับเปลี่ยนเงื่อนไขต่อไป

ทั้งนี้ยกตัวอย่าง มีวงเงินกู้หมุนเวียน 15,000 บาท จ่ายดอกเบี้ย 25% ต่อปี ชำระขั้นต่ำ 3% ของยอดคงค้าง สมมติว่าไม่เบิกใช้วงเงินเพิ่ม หากไม่เข้าปรับหนี้ภายใต้มาตรการแก้หนี้เรื้อรัง จ่ายชำระ 3% ของยอดคงค้าง ไม่ต่ำกว่า 100 บาท จะปิดหนี้ได้ 18 ปี จ่ายดอกเบี้ยรวม 29,000 บาท ถ้าเทียบกับการเข้าปรับหนี้ในมาตรการแก้หนี้เรื้อรัง จะจ่ายเดือนละ 260 บาท เท่าเดือนก่อนหน้าที่จ่ายมา 5 ปีย้อนหลัง แต่จ่ายดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้น ซึ่งหากเข้ามาตรการ จะปิดหนี้ใช้เวลา 3 ปี 6 เดือน จะจ่ายดอกเบี้ยอีก 2,500 บาท รวมจ่ายดอกเบี้ยทั้งหมด 17,500 บาท ประหยัดดอกเบี้ยไป 11,500 บาท" น.ส.สุวรรณี ระบุ

ขณะเดียวกันยังมีมาตรการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม ที่ลูกหนี้ต้องได้รับข้อมูลครบถ้วนจากสถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อ ไม่กระตุ้นให้ก่อหนี้เกินตัว เมื่อจ่ายหนี้แล้ว ต้องมีเงินเหลือใช้ประจำวัน เปรียบเทียบดอกเบี้ยว่าถ้าจ่ายขั้นต่ำ หรือจ่ายเต็มจำนวน จะแตกต่างกันอย่างไร คาดจะออกแนวทางได้ไตรมาส 3 ปีนี้ และมีผลบังคับใช้ 1 ม.ค.2567 และมีแนวทางแก้หนี้เสีย ผลักดันให้เจ้าหนี้มีแนวทางช่วยเหลือลูกหนี้ เช่น ให้ธนาคารของรัฐเร่งแก้หนี้เสียที่เกิดในช่วงโควิด (รหัส 21) ให้นับเป็นตัวชี้วัด KPI ประเมินผลของแบงก์รัฐปี 2566

ส่วนการแก้หนี้ใหม่ จะให้คิดดอกเบี้ยตามความเสี่ยงผู้กู้ และจะกำหนดภาระหนี้ต่อรายได้ต่อเดือน (DSR) จากเฉลี่ย DSR 70% ซึ่งปัญหาคนมีรายได้ 10,000 บาท จ่ายหนี้ 9,000 บาทเหลือใช้จ่าย 1,000 บาท หรือบางคนมีรายได้ 10,000 บาทจ่ายหนี้ 10,000 บาท ทำให้เงินไม่เหลือพอใช้ในชีวิตประจำวัน มีโอกาสเป็นหนี้เสียสูง โดย ธปท.จะกำหนด DSR ตามระดับรายได้ รายได้น้อยกว่า 3 หมื่นบาทต่อเดือน หลังรวมหนี้ใหม่ต้องไม่เกิน 60% ถ้ามากกว่า 3 หมื่นบาทต่อเดือน DSR ต้องไม่เกิน 70% ทั้งนี้ ธปท. จะบังคับใช้มาตรการ DSR เมื่อเศรษฐกิจเข้มแข็งเพียงพอ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มใช้ 1 ม.ค.2568