คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย
ขณะนี้ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนเกิดตึงเครียดที่นับวันจะมีเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ และความสัมพันธ์ทางการทูตก็กำลังจะขาดสะบั้นลง แถมสงครามยูเครนก็ยิ่งทำให้รัสเซียกับจีนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันเพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย
ส่วนแผนสันติภาพที่จีนยื่นเสนอเพื่อยุติสงครามในยูเครนนั้นกลับไร้ผล เพราะสหรัฐฯและนาโตต่างระแวงความใกล้ชิดของ “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง” ที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมต่อ “ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน”
สำหรับแผนสันติภาพของหกประเทศจากอัฟริกาที่มิได้ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ก็มิได้รับการต้อนรับจากรัสเซียและยูเครนอย่างจริงจังส่วนแผนสันติภาพของ “สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส” แห่งกรุงโรม ก็มิได้รับความสนใจจากรัสเซียและยูเครนด้วยเช่นกัน เพราะต่างฝ่ายต่างเล่นแง่ตั้งเงื่อนไข!!!
ทำให้ขณะนี้ดูเหมือนว่าการทูตระหว่างประเทศเริ่มสูญเสียความไว้วางใจที่มีต่อกันและกันไปเรียบร้อยแล้ว
จึงมีผลทำให้ชาวโลกต่างมีความกังวลวิตกกันว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างขั้วฝั่งตะวันตกที่นำโดย สหรัฐฯและนาโต กับขั้วฝั่งตะวันออกที่นำโดยจีนและรัสเซียอาจจะนำไปสู่ความร้ายแรงขั้นวิกฤตจนนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 ก็เป็นได้
ส่วนการเดินเกมรุกของ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” ที่ออกเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมสุดยอดของนาโต เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนั้น ปรากฏออกมาว่า นาโตได้สมาชิกเข้ามาร่วมอีกสองประเทศนั่นก็คือ ประเทศฟินแลนด์ และประเทศสวีเดน
ทำให้ขณะนี้องค์การนาโตมีสมาชิกรวมกัน 32 ประเทศ ที่ทุกๆประเทศต่างจับมือร่วมผนึกพลังอย่างเป็นปึกแผ่นพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือต่อประเทศยูเครนทางด้านอาวุธ และแม้ว่าขณะนี้ยูเครนยังไม่ได้เป็นสมาชิกขององค์การนาโต สืบเนื่องมาจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน เกรงว่าหากนาโตรับยูเครนเข้าเป็นสมาชิกแล้ว ประธานาธิบดีปูตินอาจจะนำเป็นข้ออ้างหาทางใช้อาวุธนิวเคลียร์โจมตียูเครน ซึ่งหากเป็นเยี่ยงนั้นก็ย่อมจะกลายเป็นชนวนสร้างสงครามโลกครั้งที่สามให้เกิดรวดเร็วยิ่งขึ้น!!!
อนึ่งสงครามเย็นครั้งใหม่ (Cold War II)ที่กำลังร้อนระอุแบบกรุ่นๆระหว่างสหรัฐฯกับจีนในขณะนี้ ดูเหมือนจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ สืบเนื่องมาจากสหรัฐฯเล็งเห็นว่า “มอสโกกับปักกิ่งมีความใกล้ชิดกันสูงมากขึ้น”
หากจะลองเปรียบเทียบสงครามเย็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นระหว่างสหภาพโซเวียตกับสหรัฐฯ เมื่อปีค.ศ. 1945 จนถึงปี ค.ศ. 1991 กับสงครามเย็นครั้งใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นระหว่างสหรัฐฯกับจีนในปัจจุบันนี้ ดูเหมือนว่าสงครามเย็นยุคปัจจุบันนี้อาจจะมีความรุนแรงและมีอันตรายสูงมากกว่าสงครามเย็นครั้งแรกค่อนข้างมาก ในแง่การแข่งขันทางด้านเศรษฐกิจระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ปรากฏว่าขณะนี้เศรษฐกิจของจีนกำลังแซงขึ้นหน้าสหรัฐฯไปเรียบร้อยแล้ว
และดูเหมือนว่าขณะนี้เทคโนโลยีขั้นสูงทางด้านการทำสงคราม ประเทศจีนก็กำลังมุ่งหน้าเร่งพัฒนาให้เหนือกว่าสหรัฐอเมริกาอีกด้วยเช่นกัน
และดูเหมือนอีกว่าจีนจะได้รับอานิสงค์เป็นผลพลอยได้ สืบเนื่องมาจากนักวิทยาศาสตร์ชาวจีนที่เดินทางไปศึกษาเรียนรู้ในสหรัฐฯขณะนี้ต่างค่อยๆทะยอยเดินทางกลับประเทศจีนบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขาไปแล้วเช่นกัน
เป็นที่น่าสนใจว่าจากสถิติของผู้ที่สำเร็จปริญญาเอกทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ในสหรัฐอเมริกาเมื่อปีค.ศ. 2020 มีจำนวน 34,000 คน ที่เป็นคนเชื้อสายจีนมีถึง 46% คน ส่วนอันดับสองเป็นผู้ที่มีเชื้อสายอินเดียอยู่ที่ 17% และต้องไม่ลืมว่า ที่ผ่านๆมาการที่สหรัฐฯก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดทางด้านเทคโนโลยีได้ก็เพราะผลงานส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการคิดค้นของนักวิทยาศาสตร์ที่มีเชื้อสายจีน!!!
ปัจจัยหนึ่งอาจจะสืบเนื่องจากในยุคสมัยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก้าวเข้าสู่ทำเนียบขาวและเขาดำเนินนโยบายกีดกันชาวจีน ซึ่งอาจจะมีผลทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื้อสายจีนขาดความมั่นคงทางสายอาชีพจนตัดสินใจทะยอยเดินทางกลับประเทศจีนก็เป็นไปได้
ยกตัวอย่างอาทิเช่น “Song-Chun Zhu” นักคอมพิวเตอร์ชื่อดัง ผู้ที่เคยทำงานประจำอยู่ที่ยูซีแอลเอ โดยเขาตัดสินใจเดินทางกลับไปจีนเมื่อปีค.ศ. 2019 และขณะนี้กำลังดำรงตำแหน่งคณบดีอยู่ที่ “Institute for Artificial Intelligence” กรุงปักกิ่ง และจากข้อมูลของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯล่าสุดได้เปิดเผยว่าเมื่อปีค.ศ. 2021 นักวิทยาศาสตร์ชาวจีนในสหรัฐฯก็ได้อพยพไปยังจีนและฮ่องกงแล้วถึง 2,621 คน นับว่าขณะนี้สหรัฐฯสูญเสียนักวิทยาศาสตร์ที่มีศักยภาพมันสมองระดับหัวกะทิเชื้อสายจีนไปแล้วอย่างมากมายมหาศาล (Foreign Policy: July 13, 2023)!!!
และเป็นที่น่าสังเกตอีกว่า ขณะนี้นักศึกษาจีนที่กำลังศึกษาอยู่ในสหรัฐฯมีมากถึง 300,000 คน แต่ในทางกลับกันนักศึกษาอเมริกันที่เข้าไปศึกษาในจีนมีแค่เพียง 350 คนเท่านั้น
อนึ่ง “แดเนียล เมอร์ฟี”อดีตผู้อำนวยการศูนย์แฟร์แบงค์ แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้กล่าวว่า ขณะนี้สหรัฐฯกำลังขาดแคลนคนอเมริกันที่มีความรู้เกี่ยวกับประเทศจีน (ข้อมูลจาก NBC News เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2023)
จากความไม่สมดุลดังกล่าว “นิโคลัส เบิร์นส์”เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำประเทศจีน ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ในระยะยาวอาจจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ อีกทั้งจำเป็นอย่างยิ่งที่ในอนาคตคนหนุ่มสาวจากสหรัฐฯและจากจีนจำเป็นจะต้องมีความคุ้นเคยต่อกัน ฉะนั้นการเพิ่มจำนวนนักศึกษาอเมริกันในจีนจึงมีความสำคัญต่อการบ่มเพาะผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับจีนในยุคต่อๆไปอย่างมาก
อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ถึงการมองการณ์ไกลของ “ประธานาธิบดีบารัก โอบามา” ที่ได้สนับสนุนให้นักศึกษาอเมริกันเดินทางไปศึกษาในประเทศจีน โดยในปี 2014 มีนักศึกษาอเมริกันในจีนมากถึง 100,000 คน แต่เกิดหมุนกลับตาลปัตรในยุคสมัยของประธานาธิบดีทรัมป์ที่เขาออกมาคัดค้านและกีดกัน แม้ว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะเพียรพยายามแก้ไขปัญหาการอคติของประธานาธิบดีทรัมป์ต่อคนจีนมากมายเพียงใดก็ตาม แต่ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ!!!
และหากโชคร้ายเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ขึ้นมาจริงๆ ก็ย่อมจะทำให้การค้าระหว่างประเทศต้องมีการหยุดชะงักอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และแน่นอนว่าจะต้องมีการขาดแคลนสินค้าและบริการที่จำเป็น
ขณะนี้จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีทางด้านการสงครามมีความก้าวหน้าพัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และหากสงครามโลกครั้งที่ 3 เกิดขึ้นย่อมเป็นที่แน่นอนแล้วว่า จะต้องสร้างความหายนะให้เกิดขึ้นแก่มวลมนุษยชาติ
และยังเป็นที่แน่นอนว่า หากสงครามโลกครั้งที่ 3 เกิดขึ้นจริงๆ บรรดาอาวุธนิวเคลียร์อันแสนร้ายแรงทั้งหลายแหล่ก็จะถูกนำออกมาใช้ ซึ่งการใช้ลูกระเบิดนิวเคลียร์เพียงลูกเดียวก็จะส่งผลเสียหายอย่างคาดไม่ถึง อาทิเช่น ทำลายล้างได้เป็นเมืองๆอย่างราบคาบและยังส่งผลกระทบทางด้านสุขภาพในระยะยาวอีกด้วย
และยังมีโดรนและอาวุธอัตโนมัติอีกมากมายหลายอย่างที่จะนำมาใช้ในการโจมตีด้วยความแม่นยำ อีกทั้งขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงที่สามารถโจมตีเป้าหมายไปด้วยความเร็วหลายเท่าตัวของความเร็วเสียงก็จะต้องถูกนำมาใช้ห่ำหั่นกันอีกด้วย
สงครามโลกครั้งที่สามยังจะทำให้มีผู้ลี้ภัยจำนวนมหาศาล และยังส่งผลกระทบทางด้านการเกษตร เกิดการจลาจลด้านการขาดแคลนอาหารและยารักษาโรค
และเพื่อคลี่คลายความตึงเครียดที่กำลังเกิดขึ้นระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2023 นี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ตัดสินใจส่ง “รัฐมนตรีต่างประเทศ แอนโทนี บลิงเคน” เดินทางเข้าไปพบปะพูดคุยสมานไมตรีกับ “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง” และเมื่อวันที่ 6-9 กรกฎาคม 2023 “รัฐมนตรีคลัง เจเน็ต เยลเลน” ก็ได้ออกเดินทางไปพบปะกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนเป็นเวลาสามวันด้วยเช่นกัน
กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นทางออกที่จะทำให้สหรัฐอเมริกาและจีนหลีกเลี่ยงสงครามเย็นครั้งใหม่ได้ ดูเหมือนจะมีทางออกเพียงทางเดียวเท่านั้นก็คือ ผู้นำของประเทศมหาอำนาจทั้งสองจำเป็นจะต้องหันหน้ามาจับเข่าพูดคุย เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ ที่ยังต้องพูดคุยรวมไปถึงปัญหาที่มีความขัดแย้งกันเรื่องไต้หวันและสงครามยูเครนอีกด้วย ส่วนการแข่งขันทางด้านเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาๆ แต่หากดูแนวโน้มแล้วจีนอาจจะมีโอกาสแซงขึ้นหน้าในระยะยาวและย่อมจะเป็นขาลงที่สหรัฐฯหลีกเลี่ยงไม่ได้ละครับ