เมื่อเวลา 13.30 น. ที่ทำการพรรคเพื่อไทย นำโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ภายหลังการแถลงข่าวสืบเนื่องจากกรณีที่พรรคก้าวไกลได้มีการแถลงข่าวต่อสาธารณะเมื่อเช้านี้ โดยได้มอบภารกิจการเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลให้พรรคเพื่อไทย ในเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล จะมีการหาเสียงเพิ่มจากขั้วรัฐบาลเดิมในปัจจุบันหรือไม่ ว่า จะปรึกษาหารือแนวทางต่างๆในเวลา 15.00 น. ของวันนี้ ซึ่งเมื่อได้พูดคุยกันแล้ว ก็จะมีการดำเนินการต่อไป
เมื่อถามถึงกรณีที่การแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 กลายเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้การโหวตนายกรัฐมนตรี ไม่ได้เสียงสนับสนุนมากพอ พรรคเพื่อไทยจะมีแนวทางการแก้ไขโจทย์นี้อย่างไร นายภูมิธรรมกล่าวว่า นี่จะเป็นจุดเริ่มต้นในการหารือ อย่างน้อยที่สุดให้ได้เห็นปัญหาตรงกันว่า สาเหตุที่ทำให้ในขณะนี้ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ คืออะไร ซึ่งจะมีประเด็นนี้เป็นประเด็นหนึ่ง อาจจะมีประเด็นอื่นด้วยก็ได้ แล้วจึงถามความเห็นของสมาชิกจาก 8 พรรคการเมืองทั้งหมดว่า มีเงื่อนไขอะไรอีก แต่ละเรื่องจะแก้ไขอย่างไร หากเรายืนพื้นที่ 8 พรรคการเมือง ซึ่งมีแค่ 312 เสียง และได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภาเพิ่มอีก 12 เสียง เป็น 324 เสียง โดยเมื่อมีการโหวตในวาระตีความข้อบังคับรัฐสภา ข้อที่ 41 เป็นญัตติหรือไม่ หายไปอีก 5 เสียง ไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากเรื่องอะไร สิ่งสำคัญคือต้องมองให้เห็นว่ามีประเด็นปัญหาอะไร และจะฝ่าไปได้อย่างไร พรรคเพื่อไทยยืนยันว่า เงื่อนไขในการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อออกจากสภาพและปัญหาเดิมๆ ที่ประชาชนกำลังเผชิญอยู่ เพื่อให้ได้แก้ไขได้โดยเร็ว เรารอมาตั้งแต่วันเลือกตั้งที่ 14 พ.ค. จนถึงตอนนี้ ก็2 เดือนกว่าแล้ว เราจำเป็นต้องตั้งรัฐบาลให้ได้ เพราะฉะนั้น การตั้งรัฐบาลจึงต้องดูเงื่อนไขต่างๆ และพยายามจะฝ่าเงื่อนไขให้ได้มากที่สุด การจัดตั้งรัฐบาลเป็นช่องทางที่จะทำให้เราสามารถนำไปสู่การแก้ไขปัญหาในเรื่องรัฐธรรมนูญโดยหากเราตั้งรัฐบาลได้ มติของคณะรัฐมนตรีในวันแรก จะเป็นการทำประชามติ โดยจะมีการจัดตั้ง สสร. เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญในทันที ถ้าไม่มีเงื่อนไขนี้ จะเป็นเช่นครั้งที่พรรคเพื่อไทยเคยเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญในสภา ที่เมื่อเสนอไปรัฐบาลไม่ยอมทำประชามติ และไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ดังนั้น ในครั้งนี้ เมื่อมีเวลาและความจำเป็นอยู่เท่านี้ เราจึงจำเป็นจะต้องได้นายกรัฐมนตรีในวันที่ 27 ก.ค.นี้ นี่คือเป้าหมายที่เราตั้งไว้ เราจะดำเนินการทุกเรื่องทุกขั้นตอน เพื่อจะทำให้ได้รัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย เข้าไปร่วมเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลให้ได้
เมื่อถามว่า การที่แถลงการของพรรคเพื่อไทย ระบุว่า “เสียงของประชาชนต้องการให้รัฐบาลเปลี่ยนขั้ว” หากเสียงไม่พอ พรรคเพื่อไทยจะทำความเข้าใจกับพรรคก้าวไกลอย่างไร ที่จะต้องหาเสียงสนับสนุนจากฝ่ายต่างๆ เพื่อทำให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เดี๋ยวเราคงได้คุยว่าจะเป็นอย่างไร ถ้าจะยืนที่ 312 เสียงเดิม เราก็ไม่ขัดข้อง แต่ต้องบอกเราให้ชัดเจน ว่าเสียงที่เพิ่มนั้นจะมาจากไหน
เมื่อถามถึงท่าทีของสว. ที่เคยออกมาระบุว่า หากมีพรรคก้าวไกลในสมการ จะไม่โหวตให้ นายภูมิธรรม กล่าวว่า วันนี้เราเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล รอให้เราทำงานก่อน ที่เราเร่งทั้งหมดนี้ เพราะเราอยากมีเวลาที่มากพอในการเตรียมการเพื่อให้ได้นายกรัฐมนตรีในวันที่ 27 ก.ค.นี้
เมื่อถามว่า เมื่อพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว จะต้องมีการทบทวนเอ็มโอยูที่เคยลงนามไว้ใหม่หรือไม่ หรือจะยึดตามเดิม นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เอ็มโอยู เป็นบันทึกความเข้าใจร่วมระหว่าง 8 พรรคเดิมของเรา ขณะนี้เรายังอยู่บนพื้นฐานการพูดคุยของ 8 พรรคร่วมอยู่ โดยจะมีการนำเรื่องนี้เข้าหารือกัน เพราะเป้าหมายของเราคือการเพิ่มเสียงให้ได้ 375 เสียง เพราะฉะนั้น หนทางใดที่จะต้องใช้ในการเพิ่มเสียง และไม่สอดรับสอดคล้องกับเอ็มโอยูจะต้องถูกนำมาพิจารณา
เมื่อถามถึงการแถลงการของพรรคก้าวไกลเมื่อเช้านี้ ที่ไม่ได้ทีท่าว่าการลดเพดานการแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา112 พรรคเพื่อไทยจะมีการพูดคุยในเรื่องนี้กับพรรคก้าวไกลอย่างไร นายภูมิธรรม กล่าวว่า คุยอย่างตรงไปตรงมา ว่าอะไรคือปัญหา และจะมีหนทางแก้ได้อย่างไร ถ้าเป็นเรื่อง มาตรา 112 ก็ต้องถามพรรคก้าวไกล ว่าตราบที่เราจะไปต่อและเป็นรัฐบาลให้ได้ เงื่อนไขอะไรที่เป็นปัญหา และเกี่ยวข้องกับพรรคไหน พรรคนั้นจะต้องตอบว่าจะคลี่คลายอย่างไร
เมื่อถามว่า ภายหลังการในวันนี้ จะได้ข้อสรุปเลยหรือไม่ว่า พรรคก้าวไกล จะเดินไปต่อกับ 8 พรรคร่วมหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เราไม่สามารถคาดการณ์ได้ อยู่ที่การหารือกัน โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในวันนี้ ส่วนพรรคก้าวไกลจะเดินออกหรือไม่ ไม่มีใครตอบแทนใครได้
เมื่อถามว่า ในการประชุมรัฐสภาเพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 27 ก.ค.นี้ จะมีการเสนอชื่อนายเศรษฐา ทวีสินในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรีเลยหรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า เป็นกระบวนการที่พรรคเพื่อไทยต้องดำเนินการภายในพรรค ซึ่งคณะกรรมการบริหารพรรคได้ทำหน้าที่ และมอบหมายตนในเรื่องนี้ ให้ตนในฐานะหัวหน้าพรรคดำเนินการแทน อย่างไรก็ตาม สมาชิกพรรคจะต้องมีการประชุมในวันที่ 26 ก.ค.นี้ ในเวลา 17.00 น. เพื่อขอมติรับรองครั้งสุดท้าย
เมื่อถามว่า กลัวจะซ้ำรอยเดิม ในการโหวตเมื่อวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมาหรือไม่ หากยังมีพรรคก้าวไกลอยู่ในสมการนพ.ชลน่าน กล่าวว่า ประเด็นนี้เป็นโจทย์หลักในการที่เราจะดำเนินการแสวงหาเสียงสนับสนุน กลไกที่จะต้องใช้ในการแก้ไข เพื่อให้ได้มาซึ่ง 375 เสียง จะต้องดำเนินการในช่วยนี้ และจะมีการเจรจาพูดคุยกันทั้งหมด
เมื่อถามถึงท่าทีของสว.ในขณะนี้ มีท่าทีที่จะโหวตให้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า เราได้ทำหน้าที่ตั้งแต่ 312 เสียง ซึ่งได้คุยกันในขั้นต้นแล้ว แต่เมื่อมีเสียงที่สะท้อนและแสดงออกมาในรัฐสภาวันนี้โจทย์เปลี่ยน เราคงต้องทำหน้าที่ใหม่ เพราะคราวที่แล้ว เราไม่ได้ทำหน้าที่หาเสียงให้พรรคเพื่อไทย เราทำหน้าที่หาเสียงให้กับ 8 พรรคการเมืองที่จะจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน หาเสียงให้กับพรรคก้าวไกลในฐานะที่เป็นแกนนำ เมื่อโจทย์เปลี่ยน เราคงต้องคุยใหม่ จากวันนี้เรายืนยันได้ว่า จะเริ่มต้นคุยอย่างเป็นทางการในฐานะแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลซึ่งจะดำเนินการต่อไป
เมื่อถามว่า หากการเสนอชื่อนายเศรษฐา ไม่ผ่านจะทำอย่างไรต่อไป เนื่องจากการที่พรรคก้าวไกลเปิดทางในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลให้พรรคเพื่อไทย จะเป็นการปิดทางไม่ให้เกิดการข้ามขั้วหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า วันนี้เราตั้งใจว่าจะต้องทำให้ผ่าน เราจะไม่มีคำว่า “ถ้า” และต้องทำอย่างสุดความสามารถเพื่อให้บรรลุการจัดตั้งรัฐบาลให้ได้เราเชื่อมั่นว่า 27 ก.ค. เราได้นายกรัฐมนตรี