ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต

“ภาวะชีวิตที่มีค่าของมนุษย์..คือโอกาสสำคัญที่ได้เลือกสรรแล้ว เพื่อจะอยู่ร่วมกันอย่างเป็นหนึ่งเดียวและเป็นสุข...มันคือสุดยอดปรารถนาแห่งความเป็นชีวิตที่แท้..ที่อิ่มเต็มไปด้วยความรู้สึกรักและปรารถนาดีเนื่องนิรันดร์..แต่ในความเป็นจริงแล้ว..สัมพันธภาพของมนุษย์ ณ วันนี้ กลับเลือนรางและจางหาย สูญสลายไปจากวิถีแห่งความเป็นจริงที่แปลกแยกควรจะเป็น..ความเหือดแห้งแหบโหยในอารมณ์..คลาคล่ำไปด้วยทรรศนะวิสัยอันแปลกแยก..

บาดลึกอยู่ในอารมณ์ลึก..สับสนปนเปไปด้วยนานาอคติ ในโลกที่หาดุลยภาพอันสงบงามไม่ได้..มันคือตราบาปที่ประทับรอยต่อจิตวิญญาณของชีวิตอย่างติดตรึง..กระทั่งสูญสิ้นทางออก แม้แต่บนวิถีอันมืดบอดหรือ..ไร้สิ้นซึ่งวิญญาณก็ตาม”

นี่เป็นดั่งคำประกาศแห่งค่าความหมายของวรรณกรรม จากกระบวนทัศน์ของรวมเรื่องสั้นวิพากษ์ “โลกสมัย” เล่มหนึ่งในนาม “มนุษย์ระเหิด” ประพันธกรรมแห่งการเปิดเปลือยและปอกเปลือกมายาแห่งมายาจริต..ด้วยแก่นแกนของสำนึกคิด..ที่เอกอุและไร้ขีดจำกัด..โดย “วิญวิญญ์” นักเขียนสตรีเจ้าของรางวัล “พานแว่นฟ้า” ปี พ.ศ.2565...

“ผมไม่อยากอยู่ภายใต้เงาความสำเร็จหรือปีกแห่งฝันของใคร..ไม่อยากอยู่อย่างสุขสบายแต่ไร้ค่า..หากผมต้องรู้สึกไร้ค่าในสายตาของคนที่ผมรักที่สุด..ผมเลือกที่จะระเหิดหายไปจะดีกว่า..”

ตัวตนแห่งศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ที่หยั่งลึก ถือเป็นแกนหลัก แห่งเรื่องสั้น “มนุษย์ระเหิด”..และหัวใจอันผลิบานของมวลสำนึกคิดของเรื่องสั้นโดยรวมของเล่มนี้  ความเป็นตัวตนเป็นนัยอันกล้าแกร่งของชีวิตตัวละครที่ถูกสถาปนาขึ้นเพื่อความความอยู่รอดในเจตจำนงบริสุทธิ์...เราต่างมีนานาความทุกข์คุกคามอยู่กับใจ..และกว่าจะหลุดพ้นชะตากรรมที่รัดรึงอย่างติดแน่นนั้น..ชีวิตเราก็แทบจะไม่เหลือสภาวะร่างแห่งตัวตนใดๆ..

“กระจกเงาบานใหญ่ตรงโถงทางเดิน สะท้อนเงาร่างที่พร่าเลือนของตัวผม ทันใดนั้น ความเจ็บแปลบเสียดแทงหน้าอก..บางเสี้ยวของความนึกคิด บอกว่า..ตัวเองกำลังจะระเหิดหายไปในไม่ช้า..”

อะไรคือภาวะ “ระเหิด” ในความหมายที่อยู่เหนือความหมายกันแน่..ที่จริงมันอาจคือ..อาการที่สามารถเปลี่ยนสถานะจากของแข็งเป็นไอ..โดยไม่ผ่านสถานะ จากการเป็นของเหลว/หรือ..มันอาจคือ..วิถีแห่งการเป็น “บาป” จากการกลายร่างผ่านการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด..และ..หรือ.. การระเหิด (Sublimation ) คือการเปลี่ยนสถานะจากของแข็งไปเป็นไอ..ได้โดยไม่ต้องผ่านสภาวะการเป็นของเหลว..อย่างเช่น ลูกเหม็น การบูร หรือ น้ำแข็งแห้ง..มันคือการกลายร่างโดยอัตโนมัติ ประหนึ่งการกลายเป็นภาวะหนึ่งภาวะใดของมวลมนุษย์โดยไม่ต้องแปรร่าง ขอเพียงแต่ สัญชาตญาณ และ ความรู้สึกแห่งจิตใจที่แฝงฝัง เกิดผัสสะกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดจนกลืนกลาย..และ..เลือนหาย.. “นี่แก กล้าหลอกลวงพ่อแม่ขนาดนี้เชียวเหรอ...แกมันเทียบอะไรกับพี่แกไม่ได้เลย แกมันไร้ค่า!”

“ใช่สิ..ผมไม่เคยดี..ไม่เคยอยู่ในสายตาพ่ออยู่แล้ว..ผมก็แค่อากาศธาตุเมื่อเทียบกับพี่..สักวันเถอะผมจะหายตัวไปในอากาศให้ดู!” ความหมองหมางและไม่เข้าใจในสัมพันธภาพระหว่างกันคือมวลยาพิษแห่งระเบิดเวลาที่เข่นฆ่า ความรักระหว่างกัน..จนกลายสภาพเป็นหายนะทางความรู้สึกไปในที่สุด..

ใจกลางทางความคิดของ “มนุษย์ระเหิด” ทำให้เรื่องสั้นเรื่องนี้..มีส่วนสนองรับเจตจำนง ที่จำเป็นต้องเข้าใจและคลี่คลาย เงื่อนปมแห่งอคติของชีวิต..ยิ่งอยู่ใกล้ก็ยิ่งจะพันผูกเป็นเงื่อนไขทั้งดีและร้าย ที่สุดก็จมปลักกับวังวน ที่หมุนคว้างอยู่กับความหมายของความเกลียดชังอย่างซ้ำๆ...โดยไม่รู้ตัวของตัวเพียงเท่านั้น..

“วิญวิญญ์”..เลือกเปิดเรื่องราวทั้งหมดของเธอ..ด้วยสถานะแห่งภาวะของการกลายเป็นของชีวิต ที่ค่อยๆ..แปรสภาพ อยู่ในที่แจ้งแต่ไม่อาจรู้สึกและหยั่งเห็นได้..คล้ายเหมือนกับปฏิกิริยาแห่งชีวิตอีกหลายสิ่งที่เป็นดั่ง.. “กระบวนบรรทุกแห่งความสาปศรัทธา” ที่โบยตีสังคมชีวิตอย่างหื่นกระหาย มืดบอด และ อัปลักษณ์..อยู่ในทุกวันนี้..ว่ากันว่า..การสูญเสียในสูญสิ้น ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์..ถือเป็นฉากความเศร้าที่ร้าวรานในสังคมมาช้านาน..จากสีขาวบริสุทธิ์ได้กลายเป็นสีดำที่เเปดเปื้อนราคีคาวแห่งโลกอันไม่เคยคิดหวัง...ทำให้ตัวตนของความเป็นชีวิตถูกทำลายความหมายแห่งชีวิตลง..คนแล้วคนเล่า..เป็นโศกนาฏกรรมแห่งชะตากรรมที่ปลดเปลื้องและเลี่ยงหลีกไม่ได้..ในยุคสมัยแห่ง “ทุนนิยมมายาจริต” เช่นทุกวันนี้..ชีวิตจำเป็นต้องขายชีวิตมากขึ้นทุกขณะ ทั้งด้วยเต็มใจและไม่เต็มใจ..ทั้งด้วยรู้ตัวและไม่รู้ตัว ..การระเหิดไอเกิดขึ้นเงียบๆ..บ่อนแซะชีวิตจนไม่เหลือความเป็นชีวิต..ใดๆไว้.. “ในโลกที่เปลี่ยวเหงาใบนี้”

“พลันความคิดหนึ่งก็วาบขึ้น..สายชลเคยเชื่อว่าตัวเองเหมือนแม่น้ำยม..ที่ยังคงใสสะอาดอยู่เช่นเดิม แม้ต้องคอยรองรับสิ่งปฏิกูลชั่วนาตาปี..แต่มาวันนี้..หล่อนรู้สึกแล้วว่า..บางทีหล่อนก็อาจเป็นได้..แค่คลองหลอดเน่าเหม็น ที่ผู้คนต่างพากันรังเกียจ..เท่านั้นเอง”

คำบรรยายความเปรียบอันทดท้อหดหู่นี้ เป็นพันธะผิดบาปอันซ้ำซาก ที่เกิดขึ้นอย่างเจนความรู้สึก.. เพราะเธอคือ..สายน้ำ

ถือเป็นเรื่องสั้น..ในโครงสร้างการเขียนและกระบวนความคิดทางการประพันธ์เก่า..แต่ใช้แง่มุมการสื่อสารแบบจริงในจริง..สู่นัยของการเฉลยเปิดเปลือยอันสิ้นท่า.. “คนมีอาชีพอย่างสายชล ต้องเจอกับคนทุกประเภท อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คนมีหลายรูปแบบเกินกว่าจะจินตนาการ ไม่ได้จำกัดเพียงคนดีหรือคนเลว หากว่าหล่อนไม่ประสบเข้ากับตัวเอง ก็คงไม่เชื่อเหมือนกัน อย่างช่วงที่ผ่านมานี้ หนุ่มพนักงานออฟฟิศ วัยสามสิบรายหนึ่ง มักแวะมาหาบ่อยๆ เหมาเวลาทั้งคืนเพียงเพื่อให้หล่อนลูบหัวและปลุกปลอบเท่านั้น..”

เรื่องสั้นของ “วิญวิญญ์” ทวีความคิดคำนึงขึ้นอย่างมาก..ผ่านภาพผ่านของจิตสำนึกอันใครมาครวญลึกล้ำ..ขณะที่ค่านิยมของโลก ณ วันนี้..ล้วนผลักดันให้เราทุกคนต้องเดินไปข้างหน้าให้เร็วและรวบรัดขึ้น..เพื่อคอยวินาทีที่จะเหยียบย่ำและฉกฉวยโอกาส เพื่อจะขึ้นมาเป็นใหญ่และอยู่ในสถานะที่เหนือกว่ากัน แต่แท้จริงแล้ว..คนเราน่าจะสมควรที่จะต้องมีจิตใจ..เพื่อนเอื้อเฟื้อต่อกันและกัน..เพราะในฐานะของความเป็นมนุษย์..ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่..ย่อมถือเป็นสิ่งสำคัญ  ที่สามารถก่อให้เกิดความสุขใจขั้นสูงสุดได้..และมนุษย์ทุกคน..ย่อมจะต้องสมควรที่จะยินดีกับมัน..สาระอันกระทบสำนึกจาก “นางฟ้าอยู่บนสะพานลอย”..เกี่ยวรัดให้คุณค่าของเรื่องสั้นเรื่องนี้ฉายภาพแสดง “ความจริงที่ไม่ได้ลดทอน” ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์..ที่ถูกตราหน้าว่าด้อยกว่าเลย..แม้แต่น้อย..แม้ว่า..ท่ามกลางความมืดมิดราวกับโลกนี้ว่างเปล่า..ราวกับไม่มีที่ไป..คำรำพึงอันบาดลึกต่อหัวใจจะดังขึ้นว่า.. “จะผิดไหมถ้าเราอยากให้ใครสักคน..ตาย” ประเด็นของการชี้ให้เห็นถึงสถานะและบทบาทชีวิตของคนชั้นล่าง..ทำให้เราได้ตระหนักถึงการสู้ชีวิต..ท่ามกลางความหวังว่า..ถึงอย่างไรความดีงามก็น่าจะพอมีความหมายเหลืออยู่บ้าง..ในจิตวิญญาณของโลกที่ถูกครอบและเคลือบไว้ด้วย.. “ระบอบชนชั้น” ในจักรวาลชีวิตที่เดือดพล่าน..

มันคือความแปรเปลี่ยนนัยชีวิตโดยไม่รู้ตัวทีละน้อย..จะ “ดี งาม จริง ลวง” เช่นไร..ระยะการเดินทางของชีวิตอาจไม่สามารถจะกำหนดขึ้นอย่างผิวเผินได้..จนกว่าเราจะสัมผัสรสชาติแห่งความสดอันเป็นที่สุดของชีวิต มันจึงจะสามารถกำหนดขึ้นผ่านเจตจำนงของประสบการณ์อันไหวสะท้าน...เราอาจจะกลายร่างไปเสียก่อนที่จะเข้าใจและบรรลุถึงอะไรได้ ในเรื่องสั้น “ความตายของยูนิคอร์นหนุ่ม” เราจะได้ประจักษ์ถึง..ภาวะที่เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตอวัยวะใหม่ของมนุษย์..ที่กำลังโหมกลืนกินความเป็นมนุษย์..มันเป็นเหมือนอาวุธประหารมากกว่าเครื่องมือ..ข่าวสารต่างๆแพร่กระจายอย่างรวดเร็วผ่านการกดแชร์อย่างไม่มีวันสิ้นสุด ดุจการระบาดของโรคร้าย ที่เกินจากความสามารถที่จะควบคุมใดๆ.. ความเหลือเชื่อของเทคโนโลยี..นับเป็นจุดสำคัญแห่งการเริ่มต้น..ของเรื่องราวเชิงสัญญะ..อันประหลาดล้ำ ในหมู่บ้าน “พิลึกกึกกือ” ..และเป็นเสมือนการปิดเรื่องแห่งทุกสิ่งทุกอย่างด้วยเช่นกัน.. ชีวิตแห่งชีวิตของโลกวันนี้..ได้ “กลายร่าง” เป็นอะไรต่างๆนานาไปแล้ว..อาจจะสูญเสีย ความทรงจำ กระทั่งไม่สามารถ แยกแยะความจริงกับภาพหลอนได้..ไม่อาจมองเห็นความเป็นจริง..กระทั่งมองเห็นแต่สิ่งไม่มีอยู่จริง..กลายร่างเป็นสิ่งต่างไปนานา..ฝังรากลึกจนเป็นดั่งต้นไม้โบราณ..ที่เหือดแห้ง “ความรัก” ไป..

“จิตอารมณ์” อันพลุ่งพล่านแห่งวิถีแห่งประพันธกรรมอันเปรียบเสมือน “พันธสัญญาแห่งการเปลี่ยนแปลง เหนือความต้องการของมนุษย์ที่ไม่มีวันสิ้นสุด” ของ “วิญวิญญ์” ปรากฏอยู่ในเรื่องสั้นที่ปะทุและปะทะอารมณ์ที่สุด “ผับ..เดอะ..ฟรอก”..เรื่องราวที่เบิกประจานถึงว่าความต้องการของมนุษย์นั้นไม่มีวันสิ้นสุด..แม้เมื่อใด..เมื่อพวกเขาต้องการสิ่งใดแล้ว..พวกเขาพร้อมที่จะทำทุกสิ่ง เมื่อได้ตกลงทำสัญญากับซาตานแล้ว..การเปลี่ยนแปลงของชีวิตก็ได้เริ่มต้นขึ้น คำว่า “พันธะ” คือสิ่งที่จะคอยผูกเราไว้...ไม่ให้เราไปไหน..และคำว่า “สัญญา” ก็คือสิ่งที่เราต้องทำตามดั่งที่เคยเอ่ยไว้.. แล้วที่สุดก็มาถึงความเป็น “นิรันดร์..Aionios”เรื่องสั้นที่งามทั้งการตีความและเปรียบเทียบความ..ในมิติแห่งโลกเสมือนของวันนี้..ที่คลาคล่ำไปด้วยตำนานแห่งตำนานของอนาคต..หลายต่อหลายครั้งที่มนุษย์ต้องยอมสละชีวิตของตน เพื่อหลีกหนีปัญหา และความจริงอันเจ็บปวด..มากกว่าที่จะยอมยืนหยัดต่อสู้หรือยอมรับมัน “มนุษย์ที่ไม่เต็มส่วนอย่าง..แม็กซ์” และ “อะเดรียนา” อาจต้องใช้จิตใจที่แข็งแกร่งในการยอมรับความเป็นจริง..แล้วยืนหยัดต่อสู้กับสายตาของสังคมและคนรอบข้างที่มองมา..เพื่อสร้างคุณค่าให้แก่ตัวเอง..

ทั้งหมดในสิ่งทั้งหมดนี้คือ..น้ำหนักแห่งคุณค่าของความเป็นวรรณกรรม ที่ผ่านกระบวนการสืบค้นข้อมูล ใช้ความรู้สึกร่วม..เพื่อตีความและสร้างสรรค์ กุญแจแห่งจินตนาการเพื่อจะไขผ่านเข้าไปสู่โลกของความจริงแท้และจริงลวงเพื่อหา..ความหมายอันเร้นซ่อนแห่ง “ปริศนาวิกฤต” ของโลกวันนี้..โลกที่ทุกอย่างพร้อมจะกลายร่าง..พร้อมจะสูญสลาย..และความอ่อนแอในตัวตนแห่งจิตใจของมนุษย์ก็พร้อมจะ “ระเหิดหาย” ..เนื่องเพราะ..มนุษย์ทุกคนไม่สามารถที่จะเลือกได้อย่างแท้จริงว่า..ตัวเองนั้นเกิดมาเป็นเช่นไร?..จะสมบูรณ์ หรือ ขาดพร่องเพียงใด?.ในสังคมที่มนุษย์ต้องถูกบีบรัดจากอำนาจโสมม..ของโลกแห่งความโดดเดี่ยว..

“ความไร้ค่าของชีวิต เป็นประตูแห่งการระเหิดหาย”..เพราะไม่มีใครที่ปรารถนาจะเกิดมาอย่างโดดเดี่ยว..แม้จะต้องเกิดมาเพียงลำพัง..แต่ทุกคนล้วนมีชีวิตอยู่ได้..ด้วยมิตรภาพข้างกาย..นี่คือ..ความงามและความหมายของรวมเรื่องสั้น..ที่ใหม่สด ด้วยวิจารณญาณอันเฉียบคมและทรงพลังของผู้หญิงที่มองโลกอย่างเป็นองค์รวม..ด้วยสายตาแห่งหัวใจ..ที่หาได้ระเหิดไอ.ไปตามบทบาทและสถานะแห่งโลกจริงแต่อย่างใดไม่..!

“หากไม่สามารถต้านทานพลังแห่งความสิ้นหวังได้..ชีวิตของเราก็จักต้อง “ระเหิดหาย”..ไปในที่สุด..”