สสว. เผยผลสำรวจสถานการณ์หนี้สินกิจการ SME ไตรมาสที่ 2 ปี 66 พบผู้ประกอบการถึงร้อยละ 59.7 มีภาระหนี้สินซึ่งเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 1 ปี 66 ที่ร้อยละ 53.4 ส่วนใหญ่กู้ยืมเงินเพื่อใช้หมุนเวียนในกิจการ โดยมีภาระหนี้สินอยู่ในช่วง 50,000 ถึง 100,000 บาท นอกจากนี้ผู้ประกอบการร้อยละ 55.4 ยังคงเผชิญปัญหารายได้ไม่พอกับรายจ่ายและสภาพคล่องลดลง ปัญหาอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงถึงร้อยละ 9-12 โดยสิ่งที่ผู้ประกอบการ SME ต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือมากที่สุดคือ การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 

นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า สสว. ได้ทำการสำรวจผู้ประกอบการ SME เกี่ยวกับสถานการณ์ด้านหนี้สินกิจการของ SME ไตรมาสที่ 2 ปี 2566 โดยสอบถามผู้ประกอบการ จำนวน 2,691 ราย ใน 6 ภูมิภาคทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 17-27 มิถุนายน 2566 พบว่า ในไตรมาสที่ 2 ปี 2566 ผู้ประกอบการ SME ร้อยละ 59.7 มีภาระหนี้สิน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า ที่อยู่ที่ร้อยละ 53.4 โดยมีวัตถุประสงค์หลักของการกู้ยืมเพื่อนำมาใช้หมุนเวียนในกิจการ รองลงมาคือ การลงทุนในกิจการ เพื่อการซ่อมแซมสถานประกอบการ และพบว่ากลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยโดยเฉพาะธุรกิจภาคการค้าและภาคการบริการมีสัดส่วนการกู้ยืมเงินจากแหล่งเงินทุนนอกระบบสถาบันการเงินเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการกู้ยืมจากเพื่อนหรือญาติพี่น้องมากที่สุด เนื่องจากแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงินมีวิธีการและกระบวนการพิจารณาที่เข้มงวด

ทั้งนี้พบว่า ผู้ประกอบการ SME ร้อยละ 35.6 มีภาระหนี้สินอยู่ในช่วง 50,000 ถึง 100,000 บาท ซึ่งสัดส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า ที่ร้อยละ 33.2 ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มธุรกิจรายย่อย โดยมีระยะเวลาสัญญาเงินกู้ในช่วงไม่เกิน 7 ปี ขณะที่ต้นทุนการกู้ยืมเงินของ SME ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า โดยเฉพาะ ธุรกิจรายย่อยยังแบกรับอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าธุรกิจขนาดอื่นๆ โดยขยับขึ้นมาอยู่ในช่วงร้อยละ 9-12 จากร้อยละ 6-8 ในช่วงไตรมาสก่อน

โดยสถานการณ์ในไตรมาสที่ 2 ปี 2566 ผู้ประกอบการ SME กว่าร้อยละ 55.4 ยังคงเผชิญกับปัญหาในการชำระหนี้ ด้วยเหตุที่รายได้น้อยกว่ารายจ่าย สภาพคล่องลดลงและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงขึ้น อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการ SME ร้อยละ 57.8 ยังสามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนดสัญญา จากภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว แต่ยังพบว่าผู้ประกอบการ SME ร้อยละ 42.4 เริ่มประสบปัญหาการผิดเงื่อนไขการชำระหนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยและขนาดย่อม ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มมีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น 

อย่างไรก็ดีพบว่า ปัญหาสำคัญที่ผู้ประกอบการ SME ส่วนใหญ่ยังคงเผชิญคือ ปัญหาด้านอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการประกอบธุรกิจ รองลงมาคือ การเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เป็นสถาบันการเงินซึ่งมีขั้นตอนการยื่นกู้ยุ่งยาก และสิ่งที่ผู้ประกอบการ SME ต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือมากที่สุดคือ การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ รองลงมาคือ ต้องการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับธุรกิจรายเล็ก และการลดขั้นตอนหรือเงื่อนไขในการยื่นขอสินเชื่อ