นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลวิเคราะห์ส่งออกไทยครึ่งหลังปี 2566: ภายใต้การเมืองที่ไม่แน่นอนว่า ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ทำการวิเคราะห์ทิศทางการส่งออกไทยทั้งปี 2566 และครึ่งหลังของปี 2566 ภายใต้ปัจจัยเสี่ยง และปัจจัยที่ต้องติดตามต่างๆ  โดยผลการวิเคราะห์แบ่งเป็น 2 กรณีดังนี้ 1) กรณีที่มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ภายในเดือนสิงหาคม 2566 คาดว่ามูลค่าการส่งออกของไทยไปตลาดโลกในปี 2566 จะมีมูลค่าเท่ากับ  283,738 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ระหว่าง 282,038 ถึง 289,422 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) หรือหดตัว -1.2 % (โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ระหว่าง -1.8% ถึง 0.8%) สำหรับครึ่งหลังของปี 2566 คาดว่าจะมีมูลค่าเท่ากับ 142,244 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ระหว่าง 140,545 ถึง 147,928 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) หรือขยายตัว 3.1% (โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ระหว่าง 1.9% ถึง 7.2%)

2) กรณีที่ไม่มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ภายในเดือนสิงหาคม 2566 คาดว่ามูลค่าการส่งออกของไทยไปตลาดโลกในปี 2566 จะมีมูลค่าเท่ากับ  279,891 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ระหว่าง 278,169 ถึง 281,614 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) หรือหดตัว -2.5% (โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ระหว่าง -1.9% ถึง -3.1%) สำหรับครึ่งหลังของปี 2566 คาดว่าจะมีมูลค่าเท่ากับ  138,398 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ระหว่าง 136,675 ถึง 140,120 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) หรือขยายตัว 0.3% (โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ระหว่าง -0.9% ถึง 1.6%)

สำหรับปัจจัยเสี่ยงได้แก่ 1.เศรษฐกิจโลก และคู่ค้าสำคัญชะลอตัว 2.เศรษฐกิจจีนอาจโตไม่ถึง 5% 3.การเมืองที่ยังไม่ชัดเจนจากการจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้า
4.อัตราการว่างงานของประเทศคู่ค้าที่สูงขึ้น 5.ค่าเงินที่ผันผวนจากอัตราดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐฯที่ทรงตัวในระดับสูง และมีโอกาสปรับขึ้น
6.เอลนีโญส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตร 7.ราคาน้ำมันดิบอาจปรับตัวสูงขึ้นจากการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปก

ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ 1.ต้นทุนการผลิตที่สูง เช่น ค่าไฟฟ้า พลังงาน และค่าจ้าง 2.Inflation หรือ Disinflation 3.ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ 4.สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ 5.การลดการพึ่งพิงเงินสกุลดอลลาร์ (De-Dollarization)