เมื่อเวลาประมาณ 15.00 น.ของวันที่ 18 กรกฎาคม 2566 ตัวแทนชาวประมงพื้นบ้านในจังหวัดสมุทรสาคร กว่า 50 คน ได้รวมตัวกันมายื่นหนังสือถึงสมาชิกวุฒิสภาของจังหวัดสมุทรสาครที่มีอยู่ทั้งหมด 3 คน โดยผ่านทางนายศรีศักดิ์ วัฒนพรมงคล หนึ่งใน ส.ว.สมุทรสาคร เพื่อเรียกร้องขอให้สมาชิกวุฒิสภาฯ ทั้ง 3 คนของจังหวัดสมุทรสาคร ที่จะต้องเข้าร่วมประชุมรัฐสภา ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 นั้น ได้ร่วมกันโหวตเลือกนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ซึ่งในการยื่นหนังสือฯ เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์และจุดประสงค์ของพี่น้องชาวประมงพื้นบ้านจังหวัดสมุทรสาครครั้งนี้ ทางฝากฝั่งของชาวประมงก็มีนายชูชัย สุดดี ชาวประมงพื้นบ้าน เป็นผู้ยื่นหนังสือ ส่วนทางฝากฝั่งของ ส.ว.นั้น ผู้ที่มารับหนังสือคือ ผู้ช่วยสมาชิกวุฒิสภา เนื่องจากทาง ส.ว.ทั้ง 3 คน ยังติดภาระกิจการประชุมอยู่ที่รัฐสภาตามระเบียบวาระที่กำหนดไว้
สำหรับข้อความตามเอกสารที่นำมายื่นต่อ ส.ว.สมุทรสาครนั้น ระบุว่า “ กราบเรียนท่าน ส.ว.ศรีศักดิ์ วัฒนพรมงคล พวกกระผม ชาวประมง ส.ค. มาวันนี้ ก็เพื่อมา ขอร้องท่านให้โหวตเลือกนายก ให้กับคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ของประเทศไทยเรา เพื่อประเทศไทยของเราได้เดินไปข้างหน้าต่อได้ และที่สำคัญที่สุด เพื่อประชาธิปไตยของลูกหลานเราของพวกเรา พวกกระผมชาวประมงสมุทรสาคร มีความเดือดร้อนจากผลกระทบทางด้านกฎหมายเรือประมง ในการจอด จม เจ๊ง มาหลายปีแล้ว มาวันนี้มีความหวัง จึงขอให้ท่านที่เคารพช่วยลงคะแนนให้คุณพิธา และให้ชาวประมงลืมตาอ้าปาก ท่านนั้นมีอำนาจที่จะช่วยเราได้ และเพื่อเป็นเกียรติและวงศ์ตระกูลของท่าน และลูกหลานของพวกเราในภายภาคหน้า และสำคัญเป็นของจังหวัดเราด้วย ได้โปรดช่วยคุณพิธาด้วย จะขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ไว้นะที่นี้ด้วย จากชาวประมงสมุทรสาคร”
นายชูชัย สุดดี ชาวประมงพื้นบ้าน เปิดใจว่า วันนี้ตัวแทนชาวประมงพื้นบ้านกว่า 50 คน ได้รวมตัวกันมายื่นหนังสือไปถึง ส.ว.ทั้ง 3 คนของจังหวัดสมุทรสาคร โดยผ่านทาง ส.ว.ศรีศักดิ์ฯ ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการให้ผู้มีอำนาจคือ ส.ส. 3 คน (พรรคก้าวไกล) และ ส.ว.อีก 3 คน ได้เลือกโหวตเลือกนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย เพื่อมาผลักดันการแก้ไขกฎหมายประมงกว่า 500 ฉบับ ที่ไม่เป็นธรรมและก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อพี่น้องชาวประมงมานานกว่า 8 ปีแล้ว อีกทั้งมองว่าการโหวตเลือกนายพิธาฯ ครั้งนี้ ยังเพื่อเป็นการสร้างอนาคตหรือต่อายุให้กับลูกหลานชาวประมงก่อนที่จะสูญสิ้นไปอีกด้วย ดังนั้นจึงต้องมาขอความร่วมมือจากทาง ส.ว.ทั้ง 3 คน ของจังหวัดสมุทรสาคร
ขณะที่สถานการณ์โดยรวมนั้น ทุกอย่างก็เป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย โดยหลังจากที่มีการยื่นหนังสือไปถึง ส.ว.สมุทรสาครแล้วนั้น ตัวแทนชาวประมงพื้นบ้านทั้งหมดก็แยกย้ายกันเดินทางกลับ โดยไม่มีความรุนแรงใดๆ เกิดขึ้น