เมื่อเวลา 11.20 น. วันที่ 17 ก.ค. 66 ที่อาคารอนาคตใหม่ ที่ทำการพรรคก้าวไกล นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ส.ส.กรุงเทพฯ และรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมความพร้อมก่อนที่จะมีการประชุมสภาเพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 19 ก.ค.นี้ ว่า วันที่ 19 ก.ค.นี้ เราจะมีการอภิปรายอย่างไร เชิญชวนให้มีเสียงสนับสนุนเพิ่มขึ้น และการเจรจาต่อรองจากส.ว. และส.ส. ในพรรคต่างๆ ที่ไม่ได้โหวตให้ ก็จะมีการพูดคุยในรัฐสภา ว่ามีความคิดเห็นอย่างไร สิ่งที่เราต้องการอยากจะทำนั้นคืออะไร ถ้ามีความเข้าใจตรงกันแล้ว ก็อยากให้ผ่านเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ เพราะประชาชนรอคอยความช่วยเหลือจากรัฐบาลชุดหน้า ที่จะมานำพาความกินดี อยู่ดี และอนาคตของประชาชน ให้ทุกคนได้ผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้ 

เมื่อถามว่า จะมีการถกกันในรัฐสภาว่า อาจจะมีคนหยิบยกข้อบังคับประชุมรัฐสภาในข้อ 41 ว่าเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกฯ พรรคก้าวไกล ได้อีกหรือไม่ นายณัฐชา กล่าวว่า ข้อบังคับของที่ประชุมรัฐสภาในหมวดการเสนอชื่อนายกฯ ในการเสนอญญัตตินั้น คนละหมวด หากเป็นเรื่องเดียวกัน ก็ต้องเป็นหมวดเดียวกันไปแล้ว ในการโหวตนายกฯ นั้น ดูอย่างถี่ถ้วนแล้วว่า สามารถเสนอได้ ไม่เช่นนั้นการเสนอชื่อนายกฯ ครั้งถัดไป ก็จะไม่สามารถเสนอได้ นี่คือการเสนอเรื่องนายกฯ ไม่ใช่การเสนอนายพิธา ฉะนั้น ในสภา ส.ส.มีมติในการเห็นชอบในการเสนอ โดยเสียงรับรองของส.ส.นั้น สามารถเสนอชื่อนายกฯ ให้กับรัฐสภาได้ให้มีเสียงสนับสนุนต่อไป 

เมื่อถามถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย (พท.) มีการถูกซื้องูเห่าจากขั้วรัฐบาลเดิม นายณัฐชา กล่าวว่า เป็นการออกมาพูดของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย มีการซื้องูเห่ากว่า 50 ตัวจากพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกลตนไม่ทราบว่าได้ข้อมูลมาจากไหน ขอให้ประชาชนสบายใจได้ว่าในส่วนของพรรคก้าวไกล 151 คน เราได้มีการพูดคุยกับส.ส.ของพรรคทั้งหมดแล้ว ว่าไม่มีการติดต่อพูดคุยอย่างแน่นอน และตนเชื่อว่าคนที่เข้ามาเป็นตัวแทนของประชาชนในนามพรรคก้าวไกล ได้เห็นแล้วว่างูเห่าในอดีตเกิดอะไรขึ้นบ้าง คนที่เข้ามาเป็นส.ส. ในครั้งนี้ ได้เห็นบทลงโทษว่าประชาชนลงโทษงูเห่าอย่างไร และในพรรคก้าวไกลเรามีหลักการในเรื่องนี้ สมาชิกทุกคนได้ผ่านกระบวนการคัดกรองอย่างเข้มข้น ผ่านด่านการเลือกตั้งจากประชาชนมาแล้ว ต้องสอบถามไปยังผู้ที่ออกมาให้ข่าว หากมีข้อมูลเพิ่มเติมต้องชี้แจงให้กับประชาชนรับทราบได้ตามกันต่อว่าเป็นใคร

นายณัฐชา กล่าวต่อว่า ส่วนจะกระทบความเชื่อมั่นต่อพรรคหรือไม่ เพราะในพรรคเองก็มีส.ส.หน้าใหม่เข้ามา ตรงนี้อาจจะเป็นคนหน้าใหม่ในฐานะส.ส. แต่เป็นคนหน้าเก่าในการทำงาน เพราะหลายคนทำงานมาตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ อาจจะไม่ได้เป็นผู้สมัครในครั้งที่แล้ว แต่เป็นคณะทำงานเป็นผู้ร่วมอุดมการณ์มาตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ ครั้งนี้จึงมาลงเลือกตั้ง หากมีความผิดจริงเรายังไม่ไปถึงกระบวนการคาดโทษ แต่โทษต่างๆ เราก็มีให้เห็นชัดเจนแล้ว 

เมื่อถามว่า หากการโหวตนายกฯ ครั้งที่ 2 ไม่ผ่าน ชัดเจนว่าไม่สามารถไปต่อครั้งที่ 3 ได้ พรรค ก.ก. มีท่าทีอย่างไรนายณัฐชากล่าวว่า พรรค ก.ก. ได้ออกไทม์ไลน์ชัดเจนไม่ว่าจะเป็นการโหวตครั้งที่ 2 ที่เสนอชื่อนายพิธา หากเสียงสนับสนุนผ่านเราก็ได้นายพิธาเป็นนายกฯ หากเสียงสนับสนุนไม่ผ่านก็จะมี 2 ทาง เสียงสนับสนุนไม่ผ่าน แต่มีเสียงเพิ่มขึ้นจากเดิมอย่างมีนัยยะสำคัญ นั่นคือมีทั้งส.ว. และส.ส. เห็นด้วย ที่ยังไม่เคยโหวตให้ในครั้งที่ผ่านมาแล้วเข้าใกล้376 เสียงมากที่สุด เราก็จะเดินหน้าโหวตต่อในครั้งที่ 3 แสดงให้เห็นว่าการปรับความเข้าใจกับเพื่อนสมาชิกประสบความสำเร็จ หากเสียงสนับสนุนเท่าเดิมหรือยังน้อยอยู่ เราก็จะเดินหน้าเสนอแก้ไขมาตรา 272 ต่อไป ทั้งหมดเป็นไทม์ไลน์ที่เราแสดงให้ประชาชนได้เห็นอย่างชัดเจน ที่ผ่านมาก็ควรจะเป็นเช่นนี้นั่นคือการสนับสนุนพรรคอันดับ 1 หากครั้งที่ 1 ไม่ผ่านก็สนับสนุนพรรคอันดับ 2 

เมื่อถามว่าหากการโหวตนายกฯ ครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 ยังไม่ได้นายพิธาเป็นนายกฯ นายณัฐชากล่าวว่า นายพิธาได้ชี้แจงกับประชาชนแล้วในเรื่องของการทำงาน ว่าเราจะสู้ในสองสมรภูมิ สมรภูมิแรกคือการโหวตนายกฯ ครั้งที่ 2 ถ้าไม่ผ่านในสมรภูมิการโหวตนายกฯ ครั้งที่ 2 เราก็จะสู้ในมาตรา 272 ถ้ามาตรา 272 ไม่ผ่าน ก็จะเป็นลำดับถัดไปที่ควรจะเกิดขึ้น ส่วนกรณีที่พรรคร่วมฯ เริ่มไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 272 นั้น เป็นการเริ่มต้นในการพูดคุยกันส่วนพรรคร่วมฯ จะเห็นว่าอย่างไรต้องมีการพูดคุยในการประชุมต่อไป ส่วนแนวทางในการแก้ไขมาตรา 272 เชื่อว่าพรรคร่วมฯ ปัจจุบันเคยเห็นพ้องต้องกันมาแล้ว ว่าเรื่องดังกล่าวเป็นปัญหา ส่วนใครที่เห็นเป็นปัญหาแล้วในอนาคตจะไม่โหวตให้ ก็ต้องตอบคำถามกับสังคมให้ชัดเจนว่าเพราะอะไร ทางพรรคก.ก. ก็ได้กล่าวมาตลอดว่า มาตรา 272 มีปัญหา พอมาวันนี้เราใช้กลไกรัฐสภาในการโหวตนายกฯ แล้วมีปัญหา เราก็เสนอแก้ 

เมื่อถามว่าการพูดคุยเรื่องแก้ไขมาตรา 272 ยังไม่ลงตัว รวมไปถึงแกนนำพรรค พท. ยังไม่เห็นด้วยในการยื่นแก้ไขมาตรา 272 มีการตั้งข้อสังเกตว่าจะเป็นสัญญาณของการแตกหักของพรรคร่วมฯ หรือไม่ นายณัฐชากล่าวว่า การแก้ไขมาตรา 272 เกิดขึ้นหลังการโหวตนายกฯ ครั้งที่ 2 ณ วันนี้อยากให้ทุกพรรคการเมือง พรรคร่วมฯ 8 พรรค ผนึกกำลังกันอย่างแข็งขันตามเสียงของประชาชน ได้โฟกัสในการโหวตนายกฯ ครั้งที่ 2 ก่อน เพราะมาตรา 272 เป็นเรื่องหลังการโหวตนายกฯ ครั้งที่ 2 จึงอยากให้พรรคร่วมฯ ช่วยกันหาหนทางในการที่จะดึงเสียงสนับสนุนทั้ง 2 สภา ให้ผ่านการโหวตครั้งที่ 2 แล้วจะไม่มีการพูดคุยเรื่องอื่นๆ ต่อ เราก็จะได้เดินหน้าจัดตั้งรัฐบาล จัดสรรโควตาคณะรัฐมนตรีต่อไป และแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน จึงอยากให้โฟกัสการโหวตนายกฯ ครั้งที่ 2 ให้ผ่านไปได้ 

ส่วนที่มีการระบุว่า พรรคก้าวไกลสนใจแต่วาระการเมือง แต่ไม่สนใจปัญหาปากท้องของประชาชน นายณัฐชากล่าวว่าวันนี้เสียงของประชาชนสำคัญ วันนี้เพิ่งจะผ่านการโหวตไปครั้งแรก เสียงส.ว.โหวตมา 13 เสียง มีเสียงพรรคร่วมฯผนึกกำลังกันอย่างเข้มแข็ง ถ้ามีการผนึกกำลังอย่างเข้มแข็ง ต่อไปการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยจะเป็นไปไม่ได้ และการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะพรรค ก.ก. อยากผลักดันประเด็นต่างๆ แต่เป็นเพียงเพราะว่าเราหลังพิงพี่น้องประชาชน เราถอยไม่รู้จะถอยอย่างไรแล้ว ซึ่งทางพรรคร่วมฯ ได้มีการลงในเอ็มโอยู ว่าเราจะผลักดันนายพิธาเป็นนายกฯ จนสุดความสามารถ 

เมื่อถามถึงกรณีพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย จะมีการไปพูดคุยกับพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ให้โหวตนายพิธา หากมีโหวตให้จริงจะมีเงื่อนไขอะไรที่พรรค ก.ก. จะรับได้หรือไม่ได้ นายณัฐชากล่าวว่า ยังไม่ทราบเงื่อนไข ว่าพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ไปพูดคุยภายใต้เงื่อนไขอะไรบ้าง หากมีการพูดคุยจริง อยากให้นำข้อเสนอและเงื่อนไขมาพูดคุยในที่ประชุม 8 พรรคร่วมฯ 

เมื่อถามว่า ทางการเมืองในการโหวตนายกฯ มองว่าอาจจะมีการพลิกขั้วเปลี่ยนข้าง นายณัฐชา กล่าวว่า พรรคร่วมฯผนึกกำลังกัน ไม่มีทางพลิกไปข้างไหนได้ เพราะ 188 คือเสียงข้างน้อยในสภา รัฐบาลอยู่ไม่ได้ และเสียงส.ว.หลังจากโหวตก็มีคนออกมาประกาศตัวว่าจะงดออกเสียงตลอดชีวิต ซึ่งไม่ได้หมายความว่าคนที่งดออกเสียงจะโหวตให้ 188 เสียงข้างน้อย เชื่อว่าในส่วนของ 188 คน ที่รวมกลุ่มกันอยู่ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะผลักดันใครเป็นนายกฯ ยืนยันว่าไม่มีสัญญาณสลับขั้ว โดย 8 พรรคจับมือกันเข้มแข็ง สลับขั้วไม่ได้อย่างแน่นอน 

ส่วนที่มีการประเมินว่าพรรคก้าวไกล จะพลิกไปเป็นฝ่ายค้านหรือไม่ นายณัฐชา กล่าวว่า เรายังจับมือกันทั้ง 312 เสียง หากจะพลิกก็พลิกทั้งก้อนเพราะเราจับมือกันแน่น จะพลิกแค่พรรค ก.ก.​พรรคเดียวเป็นไปไม่ได้ หากพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลปัจจุบันจับมือกันแน่น ผนึกกำลังกันอย่างเข้มแข็งด้วยเสียงของประชาชน อย่างไรก็ตามเป็นฝ่ายค้านทั้ง 312 เสียงไม่ได้เลย ต่อให้มีพรรคใดพรรคหนึ่งในพรรคร่วมฯ ไปร่วมกับขั้วรัฐบาลเดิม แต่พรรค ก.ก. และ พท. รวม 252 เสียง จับมือกันแน่วแน่ตามเสียงประชาชน เชื่อว่าไม่สามารถพลิกขั้วเปลี่ยนได้ สิ่งที่ประชาชนที่อยากเห็นคือรัฐบาลประชาธิปไตย ยืนยันไม่มีการปล่อยมือกันอย่างแน่นอน