เมื่อเวลา 10.10 น. วันที่ 17 ก.ค. 66 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวภายหลังการเข้ายื่นหนังสือต่อประธานรัฐสภา ตรวจสอบว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล ถือเป็นบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามที่จะเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 89 วรรคหนึ่ง (2) หรือไม่ และตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 89 วรรคสอง ให้ถือว่าไม่มีการเสนอชื่อนายพิธา ใช่หรือไม่ ว่า ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีความเห็นว่าสมาชิกภาพของ นายพิธา สิ้นสุดลงตามมาตรา 98 (3) จากกรณีถือครองหุ้นสื่อ และได้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ย่อมทำให้ นายพิธา เป็นบุคคลที่มีคุณลักษณะต้องห้ามดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ตามมาตรา 160 (6) ตามมาด้วย เป็นเหตุให้ไม่สามารถเสนอชื่อบุคคลที่มีลักษณะต้องห้าม ตามมาตรา 89 วรรคหนึ่ง (2)

ดังนั้น ตามมาตรา 89 วรรคสอง บัญญัติว่า การเสนอชื่อบุคคลใดที่มิได้เป็นไปตามวรรคหนึ่ง ไม่ถือว่าไม่มีการเสนอชื่อบุคคลนั้น ทำให้ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา วันที่ 19 ก.ค. ที่จะถึงนี้ ประธานรัฐสภาย่อมไม่อาจปล่อยให้มีการเสนอชื่อ นายพิธา ได้อีกครั้ง ใช่หรือไม่ เป็นอำนาจของประธานรัฐสภาตามมาตรา 80 ที่จะต้องตรวจสอบในเรื่องดังกล่าว

นายเรืองไกร ยังให้ความเห็นว่า ในการประชุมวันที่ 19 ก.ค. นี้ ประธานรัฐสภายังไม่มีสิทธิชี้ขาดในการเสนอชื่อ นายพิธา พร้อมมองว่า ประธานสภาฯ ทั้ง 3 ท่าน ไม่ได้แม่นข้อกฎหมายนัก แม้แต่ นายชวน หลีกภัย อดีตประธานสภาฯยังต้องมีคณะทำงานฝ่ายกฎหมายช่วยเหลือ ขณะที่ฝั่งวุฒิสภา เช่น นายพรเพชร วิชิตชลชัย หรือนายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว.จะมีความแม่นยำด้านกฎหมายมากกว่า

นายเรืองไกร กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับสมาชิกรัฐสภาที่เสนอชื่อ นายพิธา และลงมติเห็นชอบให้ นายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ตนได้รวบรวมรายชื่อเพื่อนำส่งสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ต่อไป แต่จะขอดูก่อนว่าในวันที่ 19 ก.ค. นี้จะมีความพยายามเสนอชื่อ นายพิธา อีกหรือไม่

นายเรืองไกร ยังกล่าวถึงกรณีของนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย ที่เข้ารับตำแหน่งเมื่อปี 2562 โดยพบว่าได้แจ้งบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. ในส่วนที่เคยมีการถือหุ้น Thai Food Network Tv,Inc. จำนวน 2 หมื่นหุ้น มูลค่า 3,096,000 บาท ได้มาเมื่อวันที่ 8 ก.ย. 2554 ระบุว่าเป็นของนายฟารุต ไทยเศรษฐ์ หรือบุตรชาย ที่ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว ในฐานะผู้จัดการมรดก ซึ่งคล้ายกันกับกรณีการถือหุ้นสื่อของนายพิธานั้น นายเรืองไกรย้ำว่า เนื่องจากขณะนี้ความยังไม่ปรากฏ และยังมีหลักฐานไม่มากพอ แต่จะตรวจสอบเรื่องนี้ต่อไป