น.ส.ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า สถานการณ์การเมืองขณะนี้ประเมินได้ยาก เพราะยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะยังไม่รู้ว่าจะได้ตัวนายกรัฐมนตรี และจัดตั้งรัฐบาลได้เมื่อไร ซึ่งความล่าช้าที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐปี 2567 ซึ่งในส่วนของรายจ่ายประจำยังมีงบกลางที่ใช้ดำเนินการไปพลางได้ อาจไม่ได้ติดขัดมาก แต่จะส่งผลต่อการเบิกจ่ายงบลงทุนโครงการขนาดใหญ่ รวมถึงยังไม่สามารถมีโครงการลงทุนใหม่ๆเกิดขึ้นได้
ทั้งนี้ในแง่ของความเชื่อมั่นในการลงทุนยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะดูจากข้อมูลเบื้องต้นก็ยังพบว่ามีความเชื่อมั่นอยู่ ซึ่งจากเปรียบเทียบในอดีตที่ผ่านมา ไม่ว่าจะมีความวุ่นวายทางการเมือง มีการประท้วงในสถานการณ์ต่างๆก็ไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบมากนัก ยกเว้นหากเกิดความรุนแรงยืดเยื้อลากยาวจนกิจกรรมทางเศรษฐกิจต้องหยุดชะงัก
โดยตอนนี้คงต้องติดตามการโหวตเลือกนากรัฐมนตรีรอบที่ 2 ในวันที่ 19 ก.ค.นี้จะสำเร็จเสร็จสิ้นลงได้หรือไม่ และยังไม่สามารถประเมินจากกระแสข่าวว่าจะมีการเปลี่ยนตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีไปเป็นอีกพรรคหนึ่งนั้นจะมีผลต่อเศรษฐกิจไทยและความเชื่อมั่นอย่างไรหรือไม่ คงต้องรอการโหวตวันที่ 19 ก.ค. หรือการโหวตครั้งถัดๆ ไป หากยังไม่จบ อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมา ธปท.ได้ทำการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยจากหลาย ๆ กรณีแล้วว่าจะส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง ซึ่งปัจจุบัน ธปท.คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 3.6% ในปี 66 และขยายตัวเป็น 3.8% ในปี 67