คลังเตรียมเม็ดเงิน 1.2 แสนล้านบาท วาง 3 แผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจช่วงรอยต่อหากงบประมาณปี 67 ล่าช้า
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า หากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ที่คาดว่าจะล่าช้าออกไปราว 6 เดือน เนื่องจากยังไม่มีรัฐบาลใหม่นั้น กระทรวงการคลังมีแผนรองรับไว้พร้อมแล้ว เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น 1.การนำงบประมาณรายจ่ายประจำที่สามารถเบิกจ่ายก่อนได้ จากเดิมที่จะเบิกจ่ายช่วงปลายปีงบประมาณ ให้นำมาใช้ก่อนในช่วงต้นปีงบประมาณทันทีเช่น งบอบรม สัมมนา ซึ่งมีอยู่ราว 5-6 หมื่นล้านบาท 2.งบลงทุนรัฐวิสาหกิจ 5 แสนล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้ต้องไปดูว่ามีเท่าใดที่จะสามารถเร่งเบิกจ่ายได้ 3.โครงการต่างๆที่ขับเคลื่อนโดยสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFI) อีกประมาณ 7 หมื่นล้านบาท เชื่อว่างบจากทั้ง 3 ส่วนนี้จะสามารถเพียงพอรองรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงรอยต่อระหว่างที่ยังไม่มีรัฐบาลใหม่ไปพลางก่อนได้
ทั้งนี้เรามีมาตรการ front load เตรียมพร้อมแล้ว ส่วนที่จะเข้ามาช่วยทดแทน เป็นงบลงทุนรัฐวิสาหกิจของหลายหน่วยงานทั้งหมด 5 แสนล้านบาท ก็น่าจะเอามา front load ได้ก่อน 5-6 หมื่นล้านบาท และอีกส่วนเป็นโครงการของ SFI อีกราว 7 หมื่นล้านบาทมารวมกัน รีบเอามาดำเนินการได้ในช่วงไตรมาสแรกของปีงบ 67 ซึ่งทาง สศค.เตรียมเรื่องนี้ไว้แล้ว เชื่อว่าเพียงพอที่จะมาทดแทนช่วงงบปี 2567 ล่าช้า
โดยการที่งบประมาณปี 2567 ล่าช้าออกไปราว 6 เดือน หรืออาจจะเร็วกว่า หากสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้เร็วนั้น จะมีผลต่อ GDP ปี 2566 เพียง 0.05% เท่านั้น เชื่อว่าจะไม่มีปัญหา เพราะจะมีการนำงบประมาณรายจ่ายของปี 2566 ส่วนหนึ่งมาใช้จ่ายไปพลางก่อน ในระหว่างที่รองบประมาณปี 2567 ซึ่งสำนักงบประมาณ อยู่ระหว่างการจัดทำหลักเกณฑ์ว่าจะมีงบรายจ่ายจากส่วนใดที่สามารถนำออกมาใช้ได้บ้าง เช่น งบรายจ่ายลงทุนที่ได้ผูกพันไว้แล้ว ซึ่งจะต้องรายงานต่อนายกรัฐมนตรี และที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้รับทราบก่อน โดยจะเป็นการทำคู่ขนานไปกับการจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 2567
"เราไม่มีเกียร์ว่างแน่นอน 100% มาตรการทั้งหมดที่เตรียมไว้ในส่วนของการเงิน การคลัง มาตรการเพิ่มรายได้ ลดรายจ่ายอย่างไร มาตรการประคับประคองเศรษฐกิจในช่วงที่ยังไม่มีรัฐบาลตัวจริง หน่วยงานราชการทุกกระทรวง สามารถเดินได้ภายใต้ระบบราชการ"นายกฤษฎากล่าว
นายพรชัย ฐีระเวช โฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ในปี 2566 สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3.6% ซึ่งเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในทิศทางการฟื้นตัวต่อเนื่องจากปีก่อน โดยมีการบริโภคภาคเอกชน และการท่องเที่ยวเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ คาดว่าปีนี้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ราว 29 ล้านคน ในขณะที่คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัด จะกลับมาเกินดุลที่ 4.2 พันล้านดอลลาร์ และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 2.6% กลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย
โดยในวันที่ 26 ก.ค.นี้ กระทรวงการคลังจะมีการทบทวนตัวเลขจีดีพีสำหรับปี 2566 ใหม่อีกครั้ง เนื่องจากมีปัจจัยที่เปลี่ยนไปจากสมมติฐานเดิมที่วางไว้ เช่น อัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่ามากขึ้น ซึ่งส่งผลทั้งแง่บวก และผลข้างเคียง รวมทั้งกรณีของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน
สำหรับแผนการคลังระยะปานกลางปี 2566-2570 จะยังเป็นการดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุล เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยตั้งแต่ปีงบ 2567 มีความพยายามที่จะควบคุมสัดส่วนการขาดดุลงบประมาณต่อจีดีพีไม่ให้เกิน 3% และจะปรับลดขนาดการขาดดุลลงอย่างต่อเนื่องในระยะปานกลาง เพื่อมุ่งสู่การจัดทำงบประมาณแบบสมดุลในระยะเวลาที่เหมาะสม ทั้งนี้งบประมาณรายจ่ายปี 2567 ตั้งเป้ารายได้ที่ 2.75 ล้านล้านบาท และรายจ่ายที่ 3.35 ล้านล้านบาท ขาดดุลงบประมาณ 3% ต่อจีดีพี